เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เว็บไซต์ “ฟอร์บส์ไทยแลนด์” ซึ่งเป็นสาขาของเว็บไซต์ และนิตยสารระดับโลก “ฟอร์บส์” ได้ประกาศจัดอันดับเศรษฐีของประเทศไทยประจำปีนี้ออกมาเรียบร้อย
ส่วนใหญ่ก็เป็นคนเดิมๆแหละครับ มีคนใหม่เข้ามาบ้าง 4-5 ราย แต่ก็มาจากตระกูลที่คุณพ่อเคยรวยติดอันดับมาแล้วเป็นส่วนใหญ่
อันดับ 1 ปีนี้เป็นของพี่น้องตระกูล เจียรวนนท์ แห่ง เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซี.พี. ซึ่งมีทรัพย์สินรวมกัน 29,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 941,000 ล้านบาท ลดลงจากปีที่แล้วเล็กน้อย
อันดับ 2 เป็นของตระกูล จิราธิวัฒน์ หรือกลุ่ม เซ็นทรัล ที่มีสินทรัพย์สุทธิ 21,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 670,000 ล้านบาทไทย พอๆ กับปีที่แล้ว
อันดับ 3 เป็นของคุณ เฉลิม อยู่วิทยา เจ้าของกระทิงแดงและ เรดบูลล์ ที่มีทรัพย์สิน 19,900 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 635,000
ล้านบาท ลดลงจากปีที่แล้วที่อยู่ในระดับ 21,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
อันดับ 4 ได้แก่คุณ เจริญ สิริวัฒนภักดี แห่งกลุ่ม ไทยเบฟเวอเรจ มีความมั่งคั่งอยู่ที่ 16,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 517,000 ล้านบาท ลดลงจาก 17,400 ล้านเหรียญเมื่อปีที่ผ่านมา
อันดับ 5 เป็นของนักธุรกิจด้านพลังงาน เจ้าของบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (จำกัดมหาชน) ที่มาแรงมาก ทรัพย์สิน เพิ่มจากปีกลายค่อนข้างมาก มาอยู่ที่ 5,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 166,000 ล้านบาท เข้าสู่อันดับ 5 เป็นครั้งแรก
ด้วยเนื้อที่จำกัดผมคงคัดลอกมาสู่กันอ่านได้เพียงเท่านี้ ท่านที่ประสงค์จะทราบว่ามีใครเป็นใคร ในจำนวนคนรวย 50 อันดับแรกของไทยแลนด์ โปรดเข้าเว็บไซต์ www.forbesthailand.com ได้เลยครับ เขาประกาศเป็นภาษาไทยอยู่แล้ว
ก่อนอื่นผมขอแสดงความยินดีสำหรับมหาเศรษฐีทุกๆท่าน ไม่ว่าจะเป็นคนใหม่ หรือคนเก่าก็ตาม เป็นความยินดีด้วยใจจริง มิใช่ประชดประชัน หรือเสแสร้ง หรือเสียดสีแต่อย่างใดทั้งสิ้น
ในฐานะคนที่ร่ำเรียนมาทางเศรษฐศาสตร์และยอมรับในระบบเศรษฐกิจเสรี ผมยอมรับความจริงว่าในระบบนี้ ย่อมมีทั้งคนรวยมากและคนจนมาก คนรวยอยู่แล้วมักจะได้เปรียบ สามารถจะขยายกิจการขยายธุรกิจ สร้างความร่ำรวยขึ้นไปได้เรื่อยๆโดยไม่มีที่สิ้นสุด หากไม่โชคร้ายถึงขั้นธุรกิจที่ตนสร้างมาพังครืนไปเสียก่อนด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม
คนมือยาว หรือคนมีเงินย่อมสาวอะไรได้มากกว่าคนอื่นอยู่แล้วครับ ในระบบเศรษฐกิจเสรี
แต่โลกเราก็พิสูจน์แล้วว่าระบบนี้ดีที่สุด เคยมีประเทศยักษ์ใหญ่บางประเทศหนีไปใช้ระบบสังคมนิยมถึงขั้นพลิกแผ่นดินรบราฆ่าฟันกันจนตายเป็นเบือ ลงท้ายก็ต้องกลับมาสู่ระบบนี้
ขอเพียงรัฐบาลในระบบเศรษฐีเสรีจะต้องเข้มแข็งควบคุมดูแลกติกาให้การแข่งขันเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม อย่าให้ใครเอาเปรียบใคร และถึงเวลาต้องเสียภาษีให้ถูกต้อง
นอกจากคุมกติกาแล้ว เมื่อรัฐบาลได้ภาษีมาก็ขอให้นำไปจ่ายให้เกิดประโยชน์โภชน์ผลแก่ประเทศชาติและคนส่วนใหญ่ รวมทั้งเอาไปดูแลคนยากจน หรือคนมือสั้นๆทั้งหลายที่ไปแย่งสาวอะไรกับเขาไม่ได้มากนัก ให้มีชีวิตอยู่ได้ตามสมควรแก่อัตภาพ
แต่ก็แน่ละอย่างไรเสียคนที่รวยมากไปก็อาจจะได้รับความอิจฉาริษยาจากคนจนอันเป็นธรรมดาโลก ทำให้เกิดความต่อต้าน หรือการแสดงออกที่รุนแรงอยู่เสมอๆ ในสังคมที่มีความแตกต่างหรือความเหลื่อมล้ำสูง
แม้จะมีกฎหมาย มีผู้รักษากฎหมายคอยคุมกฎกติกาอยู่ แต่บางครั้งความขัดแย้ง ความรุนแรงก็ยากที่จะห้ามปรามได้ ดังที่เราเห็นอยู่เนืองๆ ในหลายๆประเทศทุกวันนี้
หนทางหนึ่งก็คือคนรวยนั้นเองที่จะต้องแสดงน้ำจิตน้ำใจให้เห็นด้วยการแบ่งปันความรวยออกมาช่วยคนจนในรูปแบบมูลนิธิการกุศลต่างๆ หรือกิจกรรมต่างๆ ซึ่งก็มีคนรวยจำนวนมากทั่วโลกปฏิบัติอยู่
วิธีนี้วิธีเดียวเท่านั้นที่จะช่วยลดความโกรธแค้น ความไม่พอใจ อันเกิดจากความเหลื่อมล้ำลงได้ ขออนุญาตฝากผู้ร่ำรวยทั้ง 50 คน หรือความจริงแล้วยังมีอีกหลายๆพันคนในบ้านเราไว้ด้วยแล้วกัน
ผมเชื่อว่าท่านจะรวยขึ้นอีก ประกาศออกมาอีกกี่ปีข้างหน้าก็ตระกูลเหล่านี้แหละที่จะอยู่ใน 50 อันดับแรก
ก็ไม่ว่ากันครับ เพราะเรายอมรับ--เพียงแต่ฝากไว้ข้อเดียวว่าระบบนี้จะยั่งยืนและสงบสุขได้ หากท่านรวยแล้วไม่ลืมคนจน.
“ซูม”