ไม่ต่ออายุ “เซฟการ์ด” เหล็กรีดร้อน

นายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการพิจารณามาตรการปกป้อง (คปป.) ที่มี น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร รมช.พาณิชย์ เป็นประธาน ได้มีมติพิจารณาผลการทบทวนชั้นที่สุด ไม่ขยายระยะเวลาการใช้มาตรการปกป้อง (เซฟการ์ด) เหล็กแผ่นรีดร้อนเจืออื่นๆ เป็นครั้งที่ 3 หลังจากที่ได้ต่ออายุการใช้มาตรการมาแล้ว 2 ครั้ง คือ ครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 27 ก.พ.56-26 ก.พ.59 และขยายเวลาครั้งที่ 2 ออกไปจนถึงวันที่ 26 ก.พ.62 เนื่องจากพิจารณาข้อเท็จจริงทั้งหมดแล้ว ไม่พบว่าการนำเข้าเหล็กชนิดดังกล่าว สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่อุตสาหกรรมเหล็กภายในของไทย หรือคุกคามอุตสาหกรรมภายในอันเนื่องมาจากการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ คปป.ได้พิจารณาตามหลักของ พ.ร.บ.มาตรการปกป้องจากการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น พ.ศ.2550 และให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย โดยกระบวนการไต่สวนได้นำข้อมูลจากการรับฟังความคิดเห็นผู้มีส่วนได้เสีย ซึ่งมีผู้เข้าร่วม 91 ราย ประกอบด้วย ผู้แทนรัฐบาลต่างประเทศ ผู้ผลิตต่างประเทศ ผู้ผลิตในประเทศ ที่ต้องการให้ขยายเวลาการใช้มาตรการออกไป สมาคมผู้ใช้ และอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่ไม่ต้องการให้ขยายเวลาการใช้มาตรการ เช่น ยานยนต์ ต่อเรือ ผู้ผลิตเครื่องมือเครื่องจักรกลการเกษตร ซึ่งจากข้อมูลทั้งหมด ไม่พบความเสียหายอย่างร้ายแรงที่เกิดแก่อุตสาห– กรรมภายใน ดังนั้น คปป.จึงพิจารณาไม่ให้ขยายเวลาการใช้มาตรการปกป้อง

“จากการไต่สวนไม่พบความเสียหายร้ายแรง แต่กลับพบว่าการนำเข้าลดลง ส่วนแบ่งตลาดของผู้ผลิตในประเทศเพิ่มขึ้น ยอดขาย กำลังการผลิต และ การจ้างงานเพิ่มขึ้น แสดงว่าการนำเข้าไม่ได้สร้างความเสียหายกับอุตสาหกรรมภายในแล้ว จึงไม่ต่ออายุเซฟการ์ด ซึ่งเซฟการ์ดหรือมาตรการปกป้องการทุ่ม ตลาด (เอดี) ไม่ใช่ทุกอย่างที่จะแก้ปัญหาได้ทั้งหมด เป็นเพียงมาตรการเยียวยาเท่านั้น หากอุตสาหกรรมนั้นมีปัญหาที่โครงสร้างการผลิต มีกำลังผลิตเกินความ ต้องการใช้ในประเทศ ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังของอุตสาหกรรมเหล็กรีดร้อนของไทย ก็ต้องแก้ไขที่ต้นเหตุ ซึ่งเซฟการ์ดเป็นมาตรการที่มีต้นทุนสูงคือยิ่งใช้นานยิ่งมีต้นทุนจากการต้องชดเชยและการถูกตอบโต้จากประเทศคู่ค้าได้”.