สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยหนักใจ คาดปีนี้ส่งออกข้าวได้แค่เพียง 9.5 ล้านตัน จากปี 61 ที่ได้กว่า 11 ล้านตัน เหตุบาทแข็ง ขณะที่หลายประเทศลดนำเข้า ซัดไทยจมปลัก ตั้งราคาขายสูงๆ ไม่พัฒนา
เมื่อวันที่ 30 ม.ค. นายเจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย คาดว่า ปีนี้ไทยจะส่งออกข้าวได้เพียง 9.5 ล้านตัน มูลค่าประมาณ 4,800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 155,000 ล้านบาท ลดลงจากปี 61 ที่ส่งออกได้มากถึง 11.09 ล้านตัน โดยคาดการส่งออกจะลดลงในทุกชนิดข้าว ทั้งข้าวขาว ข้าวนึ่ง และข้าวหอมมะลิไทย รวมกันเกินกว่า 1 ล้านตัน เพราะค่าเงินบาทที่แข็งค่ามากกว่าคู่แข่งถึง 2.28% ขณะที่เงินด่องของเวียดนามแข็งค่าเพียง 0.05% ทำให้ราคาข้าวไทยแพงกว่าคู่แข่ง โดยขณะนี้ ราคาข้าวขาว 5% ของไทยตันละ 390-395 เหรียญฯ เวียดนามตันละ 340 เหรียญฯ ห่างกันพอสมควร
"ค่าเงินบาทที่แข็งค่ามาก เป็นสิ่งที่ภาคเอกชนหนักใจมาก แม้จะทำประกันความเสี่ยงก็ไม่ได้ช่วยมากนัก จึงอยากฝากให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดูแลเงินบาทไม่ควรจะแข็งค่ามากจนเกินไป"
นอกจากนี้ การส่งออกข้าวไทยยังประสบปัญหาอื่นๆ อีก เช่น อินเดียมีมาตรการกระตุ้นการส่งออก โดยการให้เงินอุดหนุนเป็นแรงจูงใจผู้ส่งออก 5% ทำให้ผู้ส่งออกกำหนดราคาขายต่ำกว่าประเทศอื่นได้ และจีนมีสต๊อกข้าวปริมาณมาก และมีการระบายข้าวในสต๊อกเก่าบางส่วนไปตลาดแอฟริกา ทำให้ไทยสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในแอฟริกาเช่นกัน ขณะเดียวกัน ยังพบว่า ผู้นำเข้าข้าวหลายประเทศมีนโยบายการลดการนำเข้าข้าวจากต่างประเทศลง เพราะปีก่อนหน้าได้นำเข้าในปริมาณมากไปแล้ว รวมถึงกรณีที่สหภาพยุโรป (อียู) มีการเก็บภาษีนำเข้าข้าวจากกัมพูชา และเมียนมา สูงถึงตันละ 175 ยูโร จากเดิมที่ไม่เคยเก็บเลย ส่งผลให้ทั้ง 2 ประเทศหันมาทำตลาดจีนแทน ซึ่งจะแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดข้าวไทยในจีน และถือเป็นปัจจัยลบสำหรับการส่งออกข้าวไทยในปีนี้ด้วย
“ตอนนี้คู่แข่งทั้งอินเดีย เวียดนาม ปรับตัวได้ดีกว่าไทยมาก เพราะมีการปรับปรุงพันธุ์ข้าว และเริ่มมีรสชาติใกล้เคียงกับข้าวไทย หรือบางพันธุ์ดีกว่าไทย ดังนั้น ถึงเวลาที่รัฐบาลจะต้องจัดทำแผนยุทธศาสตร์ข้าวไทยให้รองรับการเปลี่ยนแปลงของโลก และเห็นว่าภาครัฐจะต้องเปิดกว้างให้ชาวนา โรงสีข้าว และผู้ส่งออกข้าวไทย เข้ามามีส่วนร่วมจัดทำแผนยุทธศาสตร์ข้าวไทยระยะยาวอีกด้วย”
ด้านนายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า อยู่ระหว่างการจัดทำแผนสร้างความยั่งยืนแก่ข้าวไทยทั้งระบบ เพื่อเสนอให้รัฐบาลชุดใหม่พิจารณา เช่น การลดต้นทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน, การเพิ่มสายพันธุ์ใหม่ๆ ที่เป็นที่ต้องการของตลาดโลก, การนำนวัตกรรมเข้ามาเพิ่มมูลค่า เป็นต้น เพราะนโยบายของพรรคการเมืองในปัจจุบันเน้นการตั้งราคา, การขายฝัน ซึ่งอาจทำลายอุตสาหกรรมข้าวไทยในอนาคต และทำให้ประชาชนเกิดความสับสนเกี่ยวกับข้าว
“ช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา เวียดนามพัฒนาอุตสาหกรรมข้าวได้ดีกว่าไทยมาก โดยเฉพาะการพัฒนาสายพันธุ์ใหม่ๆ รองรับการเปลี่ยนแปลงของโลก ต่างจากไทยที่ยังจมปลักกับการตั้งราคาขายสูงๆ”