ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในงาน “เสวนาเจาะลึกกลุ่มธุรกิจที่น่าจับตาการลงทุนในปี 2019 จากภาคเอกชนไทย” ที่จัดโดย ธนาคารไทยพาณิชย์และบล.ไทยพาณิชย์ เมื่อวันที่ 29 ม.ค.ที่ผ่านมา นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เบอร์ลี่ยุคเกอร์ (BJC) กล่าวว่า คาดว่ายอดขายปีนี้จะเติบโตได้ดีกว่าปี 2561 โดยเพียงแค่ 3 สัปดาห์แรกของเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา พบว่ายอดขายเพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งน่าจะเป็นผลจากประชาชนมีความเชื่อมั่นในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น หลังมีความชัดเจนในการเลือกตั้ง และปีนี้ยังเป็นปีมหามงคลสำหรับคนไทยที่จะได้มีการเฉลิมฉลอง ดังนั้นจึงมั่นใจว่ายอดขายปีนี้จะเติบโตได้อย่างมาก ส่วนเป้าจะเป็นเท่าไรนั้น จะมีการเสนอแผนธุรกิจและเป้าหมายเข้าบอร์ดในเดือน ก.พ.นี้ “คาดว่าปีนี้กำลังซื้อจะฟื้นตัวต่อเนื่อง ทั้งจากการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นและการท่องเที่ยว รวมทั้งมาตรการรัฐที่สนับสนุนการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) ให้ผู้ใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิตทั่วประเทศ”
โดยปี 2562 นี้ ได้เตรียมเปิดสาขารูปแบบมินิบิ๊กซีเพิ่มอีก 300 สาขา จากปัจจุบัน 800 สาขาทั่วประเทศ ซึ่งยุทธศาสตร์ ยังเน้นการเติบโตในและต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศคาบสมุทรอินโดจีน เนื่องจากยังมีกำลังซื้อที่ขยายตัวได้ดี โดยต้นปีจะเปิดห้างบิ๊กซีที่ปอยเปตและที่พนมเปญปี 2564 และขยายไปเวียงจันทน์ในปี 2563
นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA เปิดเผย ปีนี้ตั้งเป้ารายได้โตมากกว่า 10% หรือหลาย 10% โดยเป็นยอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม 1,600 ไร่ เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ที่จะมียอดขายที่ดิน 1,000 ไร่ และมีการเซ็นสัญญาหนังสือแสดงเจตจำนงเตรียมขายอีก 200 ไร่
ส่วนธุรกิจผลิตไฟฟ้านั้น ในปีนี้จะมีขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นจำนวน 570 เมกะวัตต์ (MW) โดยมีโรงไฟฟ้าที่จ่ายไฟเข้าระบบ 2 แห่ง เริ่มจ่ายไฟฟ้าแล้วช่วงไตรมาส 1 และรอจ่ายไฟเข้าระบบเพิ่มอีก 1 โรงช่วงปลายปีนี้ ขณะที่ธุรกิจโลจิสติกส์ยังคงเติบโตต่อเนื่อง จากการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ล่าสุดบริษัทได้ตั้งบริษัทร่วมทุนกับบริษัท เจดี ฟิวเจอร์ เอ็กซ์โปร 1 จำกัด (JD) ภายใต้ชื่อบริษัท ดับบลิวเอชเอ-เจดี อัลไลแอนซ์ จำกัด และจะมีการก่อสร้างคลังสินค้าให้กับพันธมิตรรายใหญ่จากจีน
นายสุรยุทธ ทวีกุลวัฒน์ ผู้อำนวยการใหญ่สายการเงิน บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) กล่าวว่า บริษัทคาดว่าในช่วงเดือน ต.ค. 2564 จะมีจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 1.5-2 ล้านคนต่อวัน จากปัจจุบันมีจำนวน 800,000 คนต่อวัน เนื่องจากปี 2564 บริษัทจะมีเส้นทางให้บริการเดินรถเพิ่มเป็น 133.7 กิโลเมตร จากโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวเหนือ, สายสีชมพู, สายสีเหลือง และสายสีทอง จากปัจจุบันมีเส้นทางให้บริการ 48.9 กิโลเมตร โดยคงเป้าหมายแผน 5 ปี รายได้และกำไรสุทธิจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 30% หลังมีเส้นทางเดินรถเปิดให้บริการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมทั้งบริษัทพร้อมเข้าประมูลให้บริการเดินรถไฟฟ้าสายสีส้ม ที่คาดว่าภาครัฐจะขายซองประมูลเดือน มี.ค.-เม.ย.2562 และรถไฟฟ้ารางเบาเส้นทาง บางนา-ตราด-สุวรรณภูมิ พร้อมทั้งศึกษาเข้าประมูลรถไฟฟ้ารางเบาภูเก็ต และเชียงใหม่ด้วย
ด้านนายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เปิดเผยว่า จากการรวบรวมตัวเลขล่าสุดพบว่ากำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ปี 2561 โต 13.3% จากปี 2560 ที่มีกำไรอยู่ที่ 982,000 ล้านบาท โดยหุ้นที่มีกำไรโตมากสุด คือ 1.กลุ่มเทคโนโลยี โต 40.5% 2.กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมโต 26.1% 3.กลุ่มบริการ โต 17.9% 4.กลุ่มทรัพยากร โต 15% 5.กลุ่ม ธุรกิจการเงิน โต 13.9% และกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารโต 6.2% ส่วนกลุ่มธุรกิจที่กำไรติดลบ คือกลุ่ม สินค้าอุปโภคบริโภค ติดลบ 2.3% และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ติดลบ 10.5%
โดยช่วง 10 ปีที่ผ่านมา กำไร บจ.โตปีละไม่ต่ำกว่า 10% ทั้งที่จีดีพีหรือเศรษฐกิจไทยขยายตัวเพียงปีละ 1.5-3% เนื่องจากบจ.ออกไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น โดยมีกว่า 200 บริษัท ซึ่งมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศสูงถึง 46% ของรายได้รวม และยังพบว่า บจ.ไทยได้มีการระดมทุนในตลาดทุน เพื่อนำเงินไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น โดยปัจจุบัน บจ.นำเงินออกไปลงทุนต่างประเทศมากกว่าเงินทุนที่ต่างประเทศนำเข้ามาลงทุนในไทย.