ปตท.ระบุ เฮดจ์ฟันด์ แห่เก็งกำไรราคาน้ำมันในช่วง 2-3เดือนที่ผ่านมา ทำราคาโลกผันผวนสูงมาก ขณะที่ปีหน้ายังทรงตัวในระดับสูง แต่ด้วยกลไกกำหนดราคาน้ำมันในประเทศ คาดราคาขายปลีกไม่ผันผวนมาก ยืนยันเตรียมแผนระยะกลาง-ยาวรับมือ ด้าน กบง.มีมติเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเพิ่ม 50 สต.
นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยในงานสัมมนาหัวข้อ “Future Energy Moving Together : ก้าวไปกับอนาคตพลังงาน” ปี 2561 ซึ่งเป็นงานสัมมนาที่กลุ่มธุรกิจน้ำมัน ปตท.จัดขึ้นประจำทุกปีถึงแนวโน้มราคาพลังงานว่า ระยะ 2-3 เดือนที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกมีความผันผวนสูงมาก โดยปรับตัวที่ระดับ 10-20 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการทำสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ มาตรการคว่ำบาตรอิหร่านของสหรัฐฯและการซื้อขายน้ำมันของกองทุนเก็งกำไรข้ามชาติ (เฮดจ์ฟันด์) ที่มีการซื้อขายสัญญาน้ำมัน 600,000สัญญา คิดเป็นปริมาณน้ำมันดิบที่มีการซื้อขายรวมกัน 700 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขณะที่การใช้น้ำมันทั่วโลกอยู่ที่ 100 ล้านบาร์เรลต่อวันเท่านั้น
“ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา กองทุนเก็งกำไรข้ามชาติ มีการเทขายสัญญาน้ำมัน 400,000 สัญญา ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกแกว่งตัวผันผวนรุนแรง ขณะที่ประเทศไทยมีการใช้น้ำมันอยู่ที่ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน คิดเป็น 1% ของความต้องการตลาดโลก ซึ่งไทยไม่มีอำนาจในการกำหนดราคาไม่ว่าราคาจะผันผวนไปในทิศทางใด ดังนั้น จากนี้ไป ปตท. จึงจำเป็นต้องปรับแผนระยะกลางในการบริหารธุรกิจน้ำมัน โดยนำระบบเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาบริหารจัดการเพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจปิโตรเคมีไปผลิตน้ำมันเนฟตา น้ำมันเตา น้ำมันเครื่องบิน น้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นตามแผนบริหารจัดการด้านความมั่นคงทางพลังงาน ซึ่งจะเสนอให้บอร์ด ปตท.พิจารณาภายในเดือน ธ.ค.นี้”
นอกจากนั้น ยังมีแผนระยะยาว อาทิ การ ก่อสร้างท่อส่งก๊าซธรรมชาติเส้นที่ 5 ที่มีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2564 เพื่อใช้เป็นคลังสำรองก๊าซธรรมชาติจากฝั่งตะวันออกไปสู่ฝั่งตะวันตก ภายใต้แผนลงทุน 5 ปี อย่างไรก็ตาม กลไกราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศค่อนข้างมีเสถียรภาพ ไม่มีการปรับขึ้นสูงสุดหรือลดลงต่ำสุดผันผวนตามราคาน้ำมันดิบตลาดโลก เนื่องจากขึ้นอยู่กับราคาหน้าโรงกลั่นและการบวกภาษีในประเทศ โดยอ้างอิงราคาน้ำมันตลาดสิงคโปร์
นายชาญศิลป์ กล่าวต่อว่า ในปีหน้า ปตท.ยังคงต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงจากความกังวลเรื่องผลกระทบของสงครามการค้าของสหรัฐฯ-จีน และประเทศคู่ค้าทั่วโลกอาจกดดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลก รวมถึงความต้องการใช้น้ำมันด้วย ประกอบกับกำลังการผลิตน้ำมันดิบตลาดโลกมีแนวโน้มตึงตัวจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจกลุ่มประเทศผู้ผลิตทำให้ภาวะราคาน้ำมันมีความเปราะบาง โดยประเมินทิศทางราคาน้ำมันดิบตลาดโลกปีหน้า จะทรงตัวอยู่ในระดับสูงไม่ต่างจากปีนี้ แต่จะเห็นการแกว่งตัวแรงขึ้น จึงคาดราคาน้ำมันอ้างอิงตลาดดูไบปีหน้าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 70-80 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้พิจารณาการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมัน โดย กบง.มี มติให้ปรับเพิ่มการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ อีก 0.50 บาทต่อลิตร ทำให้อัตราเงินกองทุนน้ำมันเฉลี่ยของกลุ่มน้ำมัน เบนซินและแก๊สโซฮอล์อยู่ที่ 1.93 บาทต่อลิตร และดีเซลหมุนเร็วอยู่ที่ 0.70 บาทต่อลิตร ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับเพิ่ม 100 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 4 เดือนในการสะสมเงินให้ครบ 11,000 ล้านบาท ทำให้ราคาขายปลีกในประเทศวานนี้ (15 พ.ย.) ไม่เปลี่ยนแปลง จากที่คาดจะลดลงได้.