กรมทรัพย์สินทางปัญญา ยืนยัน สารสกัดจากกัญชา ก.ม.สิทธิบัตรไทยไม่ให้ความคุ้มครอง จดสิทธิบัตรไม่ได้แน่ไม่ต้องกังวลต่างชาติจะเป็นเจ้าของ แต่หากนำสารไปใช้เป็นยา หรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ยื่นจดได้...
เมื่อวันที่ 12 พ.ย.2561 นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดเผยถึงกรณีมีนักวิจัยกังวลถึงการยื่นจดสิทธิบัตรสารสกัดกัญชาตามธรรมชาติของบริษัทต่างชาติในไทยว่า ยืนยันว่าสารสกัดจากกัญชา ซึ่งเป็นสารสกัดจากพืช จะไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายสิทธิบัตร มาตรา 9 (1) ที่ระบุไว้ชัดเจนว่า จุลชีพ และส่วนประกอบส่วนใดส่วนหนึ่งของจุลชีพ ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ สัตว์ พืช หรือสารสกัดจากสัตว์ พืช จะไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.สิทธิบัตร ซึ่งหมายความว่า สารสกัดจากธรรมชาติจะไม่ได้รับการคุ้มครอง และจะไม่มีใครเป็นเจ้าของสิทธิในสารสกัดจากกัญชาตามธรรมชาติตามกฎหมายสิทธิบัตรของไทย ทุกคนในไทยมีสิทธิที่จะวิจัยและนำมาใช้ประโยชน์ได้
“ที่ข้อกังวลว่าการปลดล็อกกฎหมายเพื่อให้มีการวิจัยและพัฒนาการใช้กัญชาทางการแพทย์ของไทยจะไม่มีประโยชน์ เนื่องจากมีบริษัทต่างชาติได้ยื่นคำขอรับสิทธิบัตรสารสกัดกัญชาตามธรรมชาติแล้ว เป็นการเข้าใจผิด เพราะสารสกัดจากกัญชา ที่เอาไปต้ม เอาไปกลั่น จนได้สารออกมา กรมฯ ไม่รับจดอยู่แล้ว กฎหมายเขียนไว้ชัดเจนว่าจดไม่ได้ แต่ถ้าเอาสารสกัดที่ได้ ไปผสมกับอย่างอื่น จนเกิดเป็นยา สูตรยารักษาโรค หรือที่เรียกว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ สามารถยื่นจดสิทธิบัตรได้ คนไทย นักวิจัยคนไทย ที่คิดค้นสูตรที่แตกต่างจากคนอื่น ก็สามารถยื่นจดสิทธิบัตรได้เช่นเดียวกัน” อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กล่าว
นายทศพล กล่าวด้วยว่า กรณีที่มีบริษัทต่างชาติมายื่นจดสิทธิบัตรสารสกัดจากกัญชาตั้งแต่ปี 53 และขณะนี้อยู่ระหว่างการประกาศโฆษณา 90 วันนั้น เป็นสิทธิที่ผู้ประดิษฐ์ดำเนินการได้ตามกฎหมาย โดยการยื่นจด เมื่อคำขอสิทธิบัตรมีเอกสารถูกต้องครบถ้วน และในช่วงที่ประกาศโฆษณา 90 วัน ไม่มีใครมายื่นคัดค้าน เจ้าหน้าที่ก็ต้องรับคำขอเอาไว้ แต่ไม่ได้หมายความว่า ผู้ยื่นได้รับการคุ้มครองแล้ว เป็นเพียงขั้นตอนการรับจดสิทธิบัตรตามกฎหมาย ส่วนจะได้รับจดหรือไม่ได้ ผู้ตรวจสอบสิทธิบัตรจะเป็นผู้พิจารณาต่อไป แต่กรณีของการยื่นขอจดสารสกัดกัญชาจากธรรมชาตินั้น ตามกฎหมายสิทธิบัตรของไทย ไม่รับจดอยู่แล้ว.