ยอดตกงานคนจบปริญญาตรี เดือน พ.ค.ล่าสุดยังเพิ่มขึ้น รวมทะลุ 1.7 แสนคน เกือบครึ่งของคนเตะฝุ่นทั้งประเทศ 4 แสนคน เอกชนชี้ต้องรื้อระบบการเรียนการสอนรับยุคดิจิตอล
แม้ว่าภาพรวมการจ้างงานตามข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ที่เพิ่งเผยแพร่ล่าสุดจะดีขึ้น เพราะจำนวนคนตกงานลดลง คือเดือน พ.ค. 61 จำนวนคนว่างงานเหลือ 401,700 คน หรือร้อยละ 1 ของแรงงานทั้งหมด 38.55 ล้านคน ลดลงจากเดือนเม.ย. 61 ที่มีคนว่างว่างงาน 404,500 คน หรือร้อยละ 1.1 ของแรงงานทั้งหมด แต่กลุ่มที่ยังคงมียอดการตกงานเพิ่มขึ้น คือผู้ที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรี ซึ่งแต่ละปีมีผู้จบระดับปริญญาตรีเกือบ 800,000 คน
เดือน พ.ค. 61 ยอดคนตกงานที่จบระดับปริญญาตรีมีมากที่สุดคือ จำนวน 170,900 คน เพิ่มขึ้น 9,300 คนจากเดือน เม.ย. 61 ที่มียอดตกงาน 161,600 คน รองลงมาคือ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เดือน พ.ค. ตกงาน 92,600 คน เดือน เม.ย. 75,700 คน ขณะที่คนจบระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น ตกงานลดลง เหลือ 53,900 คน และ 70,300 คน
นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย เปิดเผยว่าตัวเลขของผู้ที่จบปริญญาตรีตกงานสูงกว่าระดับการศึกษาอื่น เพราะมีบางสาขาที่เรียนจบแล้วตลาดแรงงานไม่เปิด โดยเฉพาะกลุ่มสายสังคมศาสตร์ เช่น รัฐศาสตร์การปกครองท้องถิ่น แต่ส่วนราชการท้องถิ่นไม่เปิดรับเจ้าหน้าที่ สายสื่อสารมวลชน ที่ธุรกิจสื่อมีการเปลี่ยนโมเดลไปจากเดิม รวมถึงสายการตลาด ที่ยังมีการสอนแบบเดิม แต่มีสายที่ยังเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน เช่น บัญชี วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกร
ข้อแนะนำขณะนี้สำหรับผู้ที่กำลังเรียนอยู่ชั้นปี 2 ในมหาวิทยาลัยให้เปลี่ยนสาย เทียบโอนหน่วยกิต เรียน หรือเรียนเพิ่มเติมในแบบที่แรงงานต้องการในอนาคต เช่น การเรียนการตลาด ควรเรียนและทำความเข้าใจกับการตลาดแบบดิจิตอล ออนไลน์ คนที่เรียนนิติศาสตร์ ก็ควรเรียนกฎหมายที่เกี่ยวข้องการคดีต่างๆ ที่เกิดขึ้นในออนไลน์ การฟ้องร้องระหว่างการค้าทางออนไลน์ คนที่เรียนวิศวะ ก็ต้องเสริมเรื่องของดิจิตอลที่ตลาดต้องการ
“นักเรียนชั้นมัธยม ทั้งอาจารย์ และพ่อแม่ก็ต้องรู้เทรนด์เหล่านี้ เพื่อแนะนำลูกหลานได้ถูก เพราะในอีก 5-6 ปีข้างหน้าทุกอย่างเป็นดิจิตอลหมด แม้กระทั่งสายช่างต่างๆ ก็จะมีเครื่องจักร หรือหุ่นยนต์มาแทนที่แรงงาน จากเดิมที่เครื่องจักรเป็นเพียงส่วนเสริมในการผลิต หากไม่เร่งปรับตัว และเปลี่ยนแปลง อนาคตจะมีคนว่างงานอีกจำนวนมาก” นายธนิต กล่าว