ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในสัปดาห์หน้ากลุ่มประชาชน และลูกหนี้เช่าซื้อ ที่ได้รับความเดือดร้อนจากธุรกิจปล่อยเงินกู้ โดยถูกบังคับเรียกหลักประกัน ซึ่งรวมตัวกันเป็นเครือข่ายพิทักษ์สิทธิ์ลูกหนี้ จะเข้ายื่นหนังสือต่อศูนย์ดำรงธรรม สำนักนายกฯและกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เพื่อให้ดำเนินการสอบสวนเอาผิดกับบรรดาธุรกิจลิสซิ่งเช่า-ซื้อและจำนำทะเบียนรถตลอดจนผู้ให้บริการสินเชื่อรายย่อยเหล่านี้ ซึ่งมีการคิดดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมเกินกฎหมายกำหนด
ทั้งนี้ ผู้เสียหายระบุว่า จากการตรวจสอบสัญญาเช่าซื้อของบริษัทลิสซิ่งรายใหญ่รายหนึ่ง ที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีสาขาทั่วประเทศนับพันสาขา พบว่า สัญญาเช่าซื้อรถและจำนำทะเบียนรถที่บริษัทอ้างว่าดำเนินการถูกกฎหมายนั้น เป็นเพียงสัญญาให้กู้ยืมเงินที่มีการกำหนดเงื่อนไขให้ลูกหนี้ต้องนำทรัพย์สิน อาทิ รถยนต์หรือจักรยานยนต์มาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน โดยจัดทำเป็นบันทึกข้อตกลงแนบท้ายบังคับให้ลูกหนี้เซ็นโอนกรรมสิทธิ์ไว้ล่วงหน้า
โดยบริษัทที่อ้างว่าให้บริการจำนำทะเบียนรถและสินเชื่อส่วนบุคคลทั้งคาร์ฟอร์แคช เงินติดล้อ ซึ่งมีทั้งที่เป็นบริษัทลูกของสถาบันการเงินขนาดใหญ่และธุรกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงินต่างทำสัญญาในลักษณะเดียวกันคือทำเป็นสัญญาเงินกู้ที่กำหนดให้ลูกหนี้ต้องนำรถยนต์หรือจักรยานยนต์มาเป็นหลักทรัพย์ประกัน นอกจากนั้น ยังมีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และค่าธรรมเนียมประกาศบนเว็บไซต์สูงกว่าที่กฎหมายกำหนดรวมแล้วตั้งแต่ 20-50%
ทั้งนี้ ผู้เสียหายมองว่า สัญญาเช่าซื้อในลักษณะดังกล่าวไม่ใช่สัญญาเช่าซื้อตามกฎหมายเช่าซื้อ หรือสินเชื่อรายย่อยแบบนาโนและพิโก้ไฟแนนซ์ ที่ต้องเป็นสินเชื่อหลักประกัน แต่ถือเป็นสัญญาเงินกู้ยืมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ต้องอยู่ในบังคับ พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กำหนดไม่เกิน 15% เท่านั้น แต่ที่ผ่านมาธุรกิจเหล่านี้ต่างมัดมือชกบังคับลูกหนี้ทำสัญญา โดยไม่มีหน่วยงานใดแตะต้อง และจากการหารือผู้เชี่ยวชาญกฎหมายของกระทรวงยุติธรรมแล้ว ยืนยันว่าสามารถยื่นสอบสวนเอาผิดได้ทุกราย ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับเป็นรายกระทง.