พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติรับทราบตามที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี แจ้งใน ครม.ให้รับทราบถึงข้อสรุปเรื่องการกำหนดนโยบายให้หน่วยงานรัฐใช้ยางในประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาหน่วยงานต่างๆ มีข้อกังวลว่าจะติดขัดเรื่องระเบียบ หลักเกณฑ์ของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และของกรมบัญชีกลาง และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้นายวิษณุ เครืองาม ไปหารือในข้อกฎหมายกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งนายวิษณุได้กลับมาแจ้งให้ ครม.รับทราบว่า หลังหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว กรมบัญชีกลางได้กลับไปหารือภายในหน่วยงานอีกครั้ง และได้ข้อสรุปออกมาว่า ต่อไปนี้หน่วยงานของรัฐสามารถกำหนดรายละเอียดเพิ่มเติมไปในเงื่อนไขการประมูล (ทีโออาร์) ได้ว่า หากมีบริษัทใดมารับงานประมูลของรัฐ ให้สามารถซื้อยางจากการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ที่ไปซื้อยางใหม่มาจากเกษตรกรได้
นอกจากนั้น ยังอนุญาตให้ซื้อยางจากบริษัทใดก็ได้ แต่บริษัทนั้นต้องซื้อยางจากเกษตรกรที่เป็นยางใหม่ ไม่ใช่ยางเก่าในสต๊อก โดยไม่ถือว่าเป็นการล็อกสเปก เพื่อให้สามารถดูแลและพยุงราคายางของเกษตรกรให้อยู่ในระดับราคาที่น่าพึงพอใจ สำหรับสถานการณ์ยางในสต๊อกรัฐบาลนั้น ก่อนหน้านี้มียางในสต๊อกอยู่ 300,000 ตัน หลังรัฐบาลบริหารจัดการไปแล้วส่วนหนึ่ง ปัจจุบันเหลือยางในสต๊อกประมาณ 140,000 ตัน ซึ่งเมื่อมีมาตรการสนับสนุนให้ใช้ยางที่ซื้อจากเกษตรกรที่เป็นยางใหม่ ยางในสต๊อกจึงถือเป็นความเร่งด่วนลำดับรองลงไปที่จะนำมาขายสู่ตลาดหรือขายให้โครงการรัฐ ให้เน้นยางใหม่ก่อน ส่วนจะนำมาใช้เมื่อใดนั้น ให้ดูช่วงเวลาที่เหมาะสม
“มีข้อสังเกตว่า หน่วยงานของรัฐทั้ง 20 กระทรวง พบมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ใช้บริการยางในประเทศน้อยมาก ซึ่งคาดว่าจะได้ตัวเลขการใช้ยางหลักหมื่นตันต่อเดือน แต่ได้แค่หลักพันตัน นายกฯ จึงสั่งการให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และคณะกรรมการกระจายอำนาจไปสู่ระดับท้องถิ่น ลงไปคุยกับ อปท.ว่าต้องขานรับนโยบายของรัฐในการจัดซื้อยางจากเกษตรกร”
ด้านนายกฤษฎา บุญราช รมว.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า วันที่ 28 ก.พ.นี้ จะหารือกับกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ถึงนโยบายแก้ปัญหาราคายางพาราตกต่ำ ตามที่รัฐบาลสนับสนุนให้มีการใช้ยางมากขึ้นในหน่วยงานรัฐ ซึ่งเบื้องต้นได้ทำหนังสือถึงมหาดไทย เพื่อขอให้สำรวจความต้องการ.