“สมคิด” กระตุ้นคนไทยช่วยกันขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงประเทศ พร้อมอัดกลับพวกวิจารณ์รัฐบาลไม่มีผลงาน ให้คิดเทียบสถานการณ์ตอนนี้กับ 3 ปี ก่อนที่สามารถเปลี่ยนความวุ่นวายเป็นความเชื่อมั่น เพราะประเทศไทยมี “สมคิด แฟคเตอร์” ชี้ใกล้เลือกตั้งเสียงวิจารณ์เริ่มหนาหู แต่จะก้มหน้าก้มตาทำงาน เพื่อเปลี่ยนผ่านบ้านเมืองไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยระหว่างการปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนา “Thailand Economic Outlook 2018: An Era of Business Transformation” จัดโดยหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ หัวข้อ “Transforming the Economy” (การเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจ) ว่าให้พูดหัวข้อนี้แสดงว่าเห็นถึงการเปลี่ยนแปลง ทำให้คนทำงานมีกำลังใจ เพราะการเปลี่ยนแปลงไม่ใช่ของง่าย และในระดับชาติ ไม่มีทางที่คณะรัฐมนตรี (ครม.)ไม่กี่คนจะเปลี่ยนประเทศไทย จะต้องใช้พลังงานใหญ่หลวงให้คนไทยตื่นตัว ยอมขับเคลื่อนด้วยกัน ซึ่งกำลังเกิดขึ้นจริงและนำไทยไปสู่สิ่งที่ดีกว่าและสอดรับการเปลี่ยนแปลงของโลก
ขณะนี้ทุกสำนักเกี่ยวกับเศรษฐกิจยอมรับว่า เศรษฐกิจดีขึ้น คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คงดอกเบี้ยไว้เพราะเศรษฐกิจดี จึงไม่จำเป็นต้องลดดอกเบี้ย และบอกว่าปลายปีจะปรับการคาดการณ์การขยายตัวเศรษฐกิจ สิ่งเหล่านี้เริ่มตั้งแต่ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ธนาคารโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ยอมรับว่าดีขึ้น แต่ก็มีอีกฝั่งบอกว่ารัฐบาลไม่ทำอะไร ล้มเหลว ไม่สามารถแก้ไขปัญหาปากท้องได้
“ผมยอมรับได้อยู่แล้ว แต่อยากให้หลับตาคิดว่า 3 ปีที่แล้วกับวันนี้เกิดอะไรขึ้น 3 ปีที่แล้วบนถนนวุ่นวายกลัวว่าเมืองไทยจะไปรอดไหม นักท่องเที่ยวไม่กล้ามา นักลงทุนไม่กล้ามา เพราะไม่แน่ใจเมืองไทยจะเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้ข้างนอกทุกอย่างสงบเป็นไปตามสภาพที่ควรเป็น ชีวิตความเป็นอยู่เริ่มลืม 3 ปีที่แล้ว ตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ตอนผมเป็นที่ปรึกษาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อยู่ที่ 0.8% ชีพจรอ่อนล้า และไต่มา 3.2% และ 3.7% และเชื่อว่าไตรมาสที่ผ่านมานี้อาจจะถึง 4% หรือทะลุ 4% ก็ได้ ซึ่งไม่ได้มาง่ายๆ หรือฟลุก ไม่ใช่ส่งออกดี แต่ความเชื่อมั่นของคนเกิด หากไม่เกิดก็จะไม่จับจ่ายใช้สอย ไม่ลงทุน”
นายสมคิดกล่าวว่า ที่สำนักเศรษฐกิจต่างๆ บอกว่าเศรษฐกิจดีเกินคาดและเตรียมปรับประมาณการเศรษฐกิจ อยากจะให้หยุดปรับประมาณการ แต่มาช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรให้ดี เพราะคุณจะประมาณ การจากสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่ประมาณการจากสิ่งที่จะทำให้เมืองไทยเดินต่อไปข้างหน้า “ผมเคยบอกคุณแล้วมีปัจจัยการส่งออก ปัจจัยการบริโภค แต่อย่าลืมว่ายังมี “สมคิด แฟคเตอร์” ทีมงานบางคนไม่เข้าใจว่าไปบีบ ข่มขู่ จริงๆเปล่า แต่เพราะผมรู้ว่าตรงไหนเครื่องหลวม พอผลออกมาเขาก็เข้าใจและให้ความร่วมมือ”
ส่วนเรื่องระดับความเชื่อมั่นของทุกสำนักเมื่อ 3 ปีก่อนกับวันนี้ เรื่องหนักๆที่รัฐบาลเจอ องค์กรการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) และการกำหนดมาตรการเพื่อป้องกันและขจัดการทำประมงที่ผิดกฎหมายขาดการรายงานและไร้การควบคุม (IUU) รุนแรงแค่ไหน รัฐบาลปลดล็อกไป จนได้รับการยอมรับ หรือการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานหยุดมาเป็น 10 ปี รัฐบาลนี้อยู่มาแค่ 2-3 ปี ดูว่ารถไฟออกมากี่เส้น ถนนหนทางเท่าไหร่ รถไฟที่สร้างตั้งแต่รัชกาลที่ 5 จะเพิ่มอีกเป็นพันกิโลเมตร สำหรับอินเตอร์เน็ตสิ้นปีหน้าทุกหมู่บ้านจะเข้าถึงข้อมูลการศึกษา สาธารณสุข ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ตนเริ่มตั้งแต่ 15 ปีที่แล้วที่จะมาพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยแต่คนมองแต่รายใหญ่ 10 ปีที่ผ่านมา ได้ช่วยเหลืออะไร แต่ 3 ปีที่ผ่านมาการให้สินเชื่ออย่างน้อย 200,000 ล้านบาท และบรรษัทประกันสินเชื่อขนาดกลางและขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกันให้ 30% พลังทั้งหมดของกระทรวงอุตสาหกรรมเข้าไปที่เอสเอ็มอี ไม่ใช่รัฐบาลนี้หรือที่ผลักดันสตาร์ตอัพ
นอกจากนี้ โครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก (อีสเทิร์น ซีบอร์ด) ที่กินบุญเก่ามา 30 ปี รัฐบาลนี้ไม่ใช่หรือที่ต่อยอดเป็นโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ให้นักลงทุนที่เขากำลังจะหนีจากเมืองไทยกลับมา ทั้งญี่ปุ่น จีน เกาหลี และเรื่องของดิจิทัลที่ไม่เคยสนใจก็ได้เริ่มต้น กระทรวงการคลังมักถูกโจมตีว่าเก็บแต่ภาษี การนำระบบอีเพย์เม้นต์เข้ามา การจ่ายผ่านอิเล็ก-ทรอนิกส์ คอร์รัปชันจะน้อยลง ประชาชนมีบัตรใบนี้อนาคตจะเกิดการเชื่อมโยงมหาศาล
“จากสิ่งที่พูดมามีความเปลี่ยนแปลง จะเกิดอุตสาหกรรมใหม่ๆ ถ้ายังย่ำอยู่กับที่จะมีอนาคตไหม การสร้างแต่ละคลัสเตอร์เกิดขึ้นแล้ว กองทัพนักลงทุนจีน ญี่ปุ่นเชื่อมั่นและจะมา ประสาอะไรกับเราที่ดีกลับบอกไม่ดี เกิดกลับบอกไม่เกิด แต่ผมเข้าใจคนที่ออกมาพูดรู้จักกันทั้งนั้น เมื่อสัญญาณเลือกตั้งใกล้เข้ามาก็ต้องออกมาพูด ผมกับทีมไม่มีพรรค ไม่ต้องห่วงอนาคตพรรค แต่ผมก้มหน้าก้มตาทำเพื่อเปลี่ยนผ่านบ้านเมืองไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น และจะไม่หยุดแค่นี้ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และเมื่อปีหน้า เศรษฐกิจดีก็จะปฏิรูปได้”.