ธุรกิจปิโตรเคมีสร้างรายได้เข้าประเทศมูลค่ามหาศาล ไม่ต่ำกว่าแสนล้านบาทต่อปี ในขณะเดียวกัน ประเทศไทย เองก็ต้องแสวงหาแหล่งพลังงานใหม่ๆเพื่อทดแทนแหล่งพลังงานเก่าที่เสื่อมโทรม ทั้งในประเทศและนอกประเทศอย่างต่อเนื่อง เพราะธุรกิจพลังงานมีความสำคัญทั้งทาง ด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ ของประเทศ การลงทุนแต่ละครั้ง ต้องใช้เวลาและงบประมาณสูง จึงจำเป็นต้องมีความมั่นคงและได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอย่างมีเสถียรภาพและประสิทธิภาพ
เมื่อเร็วๆนี้ กระทรวงพลังงานโดย พล.อ.อนันพร กาญจนรัตน์ รมว.พลังงาน ได้ชี้แจงความคืบหน้าการเปิดประมูลแหล่งปิโตรเลียมในอ่าวไทยคือ แหล่งบงกชและแหล่งเอราวัณ ที่จะหมดอายุสัมปทานในปี 2565-2566 นั้น มีความจำเป็นจะต้องเลื่อนเวลาในการเปิดประมูลไปอีก 1-2 เดือนนับจากเดือนนี้เนื่องจากต้องส่งเรื่องให้ คณะกรรมการกฤษฎีกา พิจารณาก่อน จึงจะสามารถเปิด TOR ได้ รวมทั้งกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเปิดประมูลแหล่งปิโตรเลียมจะต้องผ่านการพิจารณาตามขั้นตอนให้เรียบร้อยเสียก่อนเช่นกัน
ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่า ประเทศไทยต้องเสียเวลาและโอกาสในธุรกิจปิโตรเลียมไปพอสมควร การคัดค้านของ เอ็นจีโอ ก็ดี ความล่าช้าในการพิจารณากฎหมายของ สนช. ก็ดี ล้วนแต่ทำให้ ธุรกิจปิโตรเลียมของประเทศ ต้องสะดุด จะเป็นเรื่องของการปลุกกระแสทางการเมืองหรืออย่างไรก็แล้วแต่ รัฐจะต้องมีมาตรการป้องกันผลกระทบกับความมั่นคงและเศรษฐกิจระดับมหภาค ที่จะตามมาด้วย
อย่างไรก็ตาม ทางด้านกระทรวงพลังงานเองก็เตรียมความพร้อมในการเปิดประมูลแหล่งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยทั้ง 2 แหล่งและแหล่งอื่นๆเอาไว้ในทุกด้าน เช่นเมื่อเร็วๆนี้ วีระศักดิ์ พึ่งรัศมี อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ได้เดินสายเข้าพบกับ รมว.พลังงาน ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แลกเปลี่ยนความรู้ในการบริหารจัดการแหล่งปิโตรเลียมในรูปแบบสัญญาแบ่งปันผลผลิตและเชิญชวนให้เข้าร่วมประมูลแหล่งก๊าซธรรมชาติของไทยด้วย
ทั้งนี้ บริษัทเอกชนที่ดำเนินการธุรกิจน้ำมัน เช่น บริษัทบาดาล่า อินเวสเตอร์ คอมปานี ของ ดูไบ บริษัท มิตซุย ออยล์ เอ็กซ์โปลเรชั่น ของญี่ปุ่น และกลุ่มบริษัท ไชน่า เนชั่นแนล ออฟชอร์ ออยล์ คอเปอเรชัน ให้ความสนใจที่จะร่วมประมูลในครั้งนี้ นอกเหนือไปจากบริษัทสัมปทานเดิม ปตท.สผ. และ เชฟรอน
การสร้างแรงจูงใจให้กับบริษัทน้ำมันต่างๆเพื่อเข้าร่วมการประมูลแหล่งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยเที่ยวนี้น่าจะเป็นเรื่องที่ดีเพราะจะทำให้ การประมูลมีการแข่งขันและมีความโปร่งใสมากขึ้น บนผลประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชน เพราะฉะนั้นถ้าจะมีคนบางคน บางกลุ่ม มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ อย่างไม่ลืมหูลืมตา ก็จะเป็นการถ่วงความเจริญของประเทศโดยปริยาย
รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะต้องแสดงจุดยืนในการปกป้องผลประโยชน์ของชาติมากกว่าจะยอมทำตามคำขู่ของคนส่วนน้อย ที่ไม่เคยรับผิดชอบต่อความเสียหายที่จะตามมาเลยแม้แต่น้อยอย่าให้เสียของ.
หมัดเหล็ก
mudlek@thairath.co.th