'พาณิชย์' ระบุ 1 ปี มีเอสเอ็มอียื่นขอจดทะเบียนหลักประกันทางธุรกิจ 1.45 แสนคำขอ มูลค่า 2.67 ล้านล้านบาท ชี้ทรัพย์สินทางปัญญาถูกยื่นจดน้อย เตรียมกระตุ้นให้ความรู้ เพื่อนำมาเป็นหลักประกันขอสินเชื่อแบงก์มากขึ้น
นางสาวบรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า ยอดการจดทะเบียนหลักประกันทางธุรกิจตลอด 1 ปีที่ผ่านมาตามพ.ร.บ.หลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558 (วันที่ 4 ก.ค 59-4 ก.ค.60) มีธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ยื่นคำขอจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจรวม 145,000 คำขอ คิดเป็นมูลค่าทรัพย์สินที่ใช้เป็นหลักประกัน 2.67 ล้านล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่นำมาใช้เป็นหลักประกัน แบ่งเป็นสิทธิเรียกร้องประเภทบัญชีเงินฝากธนาคารเป็นทรัพย์สินที่ใช้เป็นหลักประกันมากที่สุด หรือคิดเป็นสัดส่วน 60% มูลค่าประมาณ 1.6 ล้านล้านบาท อสังหาริมทรัพย์ที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ เช่น สินค้าคงคลัง วัตถุดิบ เครื่องจักร รถยนต์ เรือ คิดเป็นสัดส่วน 19.65% มูลค่า 524,000 ล้านบาท และสิทธิเรียกร้องประเภทอื่นๆ เช่น ลูกหนี้การค้า สัญญาจ้าง สัญญาซื้อขาย สัญญาเช่าซื้อ คิดเป็นสัดส่วน 20.28% มูลค่า 541,000 บาท และทรัพย์สินทางปัญญา คิดเป็นสัดส่วน 0.07% มูลค่า 1,975 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม จากสถิติการจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจดังกล่าว พบว่า ทรัพย์สินประเภทกิจการและทรัพย์สินทางปัญญา นำมาจดทะเบียนจำนวนไม่มาก เนื่องจากเป็นเรื่องใหม่ อีกทั้งหลักเกณฑ์วิธีการในด้านการประเมินราคายังไม่ชัดเจน กรมจึงกำหนดจัดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่องการนำกิจการมาเป็นหลักประกันทางธุรกิจ เพื่อผลักดันให้เกิดต้นแบบของการนำกิจการมาเป็นหลักประกันทางธุรกิจ โดยกำหนดจัดอบรมในวันที่ 7-11 ส.ค.60
นอกจากนี้ กรมยังได้เปิดให้บริการระบบจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์อย่างเต็มรูป ซึ่งช่วยลดขั้นตอนการจดทะเบียนทำให้การจดทะเบียนรวดเร็วขึ้น และอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องและประชาชนทั่วไป
สำหรับระบบจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ จะรองรับการดำเนินการ เช่น ระบบลงทะเบียนสำหรับผู้ใช้งาน เช่น ผู้ให้หลักประกัน ผู้รับหลักประกัน ผู้บังคับหลักประกัน นายทะเบียน ทรัพย์ที่มีทะเบียน และหน่วยงานพันธมิตร โดยผู้ใช้งานดังกล่าวสามารถลงทะเบียนผ่านระบบได้ทันที