Thairath OnlineThairath PlusThairath SportThairath TVMIRROR

เศรษฐกิจไทยยังลูกผีลูกคน 2 เม.ย.นี้ผวาไทยไม่รอด! ถูกสหรัฐฯขึ้นภาษีนำเข้า

Date Time: 22 มี.ค. 2568 10:30 น.

Summary

  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยอมรับเศรษฐกิจไทยยังไม่มีข่าวดี การใช้จ่ายไม่คึกคัก คาดไทยไม่รอดถูกสหรัฐฯขึ้นภาษีนำเข้า มองครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไม่โต แม้รัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ คาดการณ์จีดีพีปีนี้โต 2.4% แต่กรณีเลวร้ายอาจโตแค่ 2%

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยอมรับเศรษฐกิจไทยยังไม่มีข่าวดี การใช้จ่ายไม่คึกคัก คาดไทยไม่รอดถูกสหรัฐฯขึ้นภาษีนำเข้า มองครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไม่โต แม้รัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ คาดการณ์จีดีพีปีนี้โต 2.4% แต่กรณีเลวร้ายอาจโตแค่ 2% แนะรัฐปลดล็อกให้คนนำเงินออกมาใช้ เช่น รถเก่าแลกรถใหม่ หักภาษีซื้อบ้านได้มากกว่า 1 แสนบาท ส่วนการซื้อหนี้คืนควรเจาะจงลูกหนี้ที่มีโอกาสรอด

นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการบริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ขณะนี้เศรษฐกิจไทยยังไม่มีข่าวดีเพิ่ม แต่มีปัจจัยเสี่ยงจากสงครามการค้าโลก โดยกังวลว่าการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯวันที่ 2 เม.ย.นี้ ไทยจะเป็นหนึ่งในประเทศที่สหรัฐฯขึ้นภาษี ซึ่งจะกระทบต่อเศรษฐกิจไทยแน่นอน เพราะกระทบต่อภาคอุตสาหกรรม และผู้ประกอบการในประเทศ ส่งผลกระทบต่อรายได้และการใช้จ่ายภาคแรงงาน แต่ผลกระทบจะมากกว่าที่ประเมินไว้หรือไม่นั้น จะต้องดูหลังวันที่ 2 เม.ย.นี้

ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ผ่านมา โดยเฉพาะการแจกเงิน 10,000 บาท มีผลช่วยพยุงเศรษฐกิจ แต่ยังไม่ทำให้ฟื้นตัวได้ เพราะคนที่มีรายได้น้อยเน้นใช้จ่ายสินค้าจำเป็นต่อการดำรงชีวิตเป็นหลัก ซึ่งเศรษฐกิจไทยมีทั้งคนที่รายได้ฟื้นเร็วและฟื้นช้า และยังมีคนจำนวนหนึ่งที่มีเงินมีรายได้สูงแต่ไม่ใช้จ่าย จึงอยากให้รัฐบาลหามาตรการปลดล็อกให้คนที่ยังมีเงินนำเงินออกมาใช้จ่าย เช่น รถเก่าแลกรถใหม่ หรือการเพิ่มสิทธิประโยชน์ภาษีให้คนซื้อบ้านลดหย่อนภาษีได้มากกว่า 100,000 บาท เพื่อจูงใจให้เกิดการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น

ต่อข้อถามถึงมาตรการซื้อคืนหนี้ของรัฐบาล มองว่าการซื้อหนี้คืนจากประชาชนเพื่อมาบริหาร ต้องพิจารณาแบบเฉพาะเจาะจง ถึงกลุ่มลูกหนี้ที่มีโอกาสกลับมาเป็นหนี้ดีได้ โดยเฉพาะลูกหนี้ที่เคยเป็นลูกหนี้ดี แต่มีปัจจัยบางอย่างทำให้เป็นหนี้เสีย เช่น ลูกหนี้ช่วงโควิด หากรัฐบาลซื้อลูกหนี้ที่เหมาะสม มีโอกาสได้หนี้คืนมาก ทำให้ลูกหนี้กลับมาได้จริง ที่ผ่านมารัฐบาลเน้นช่วยลูกหนี้ที่เสียไปแล้ว ส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสกลับมาได้ ขอให้ผ่อน 10% ก็ทำไม่ได้ ไม่มี ไม่หนีไม่จ่าย หากซื้อหนี้แบบนี้มา โอกาสที่จะได้หนี้คืนก็ยาก ดังนั้น รัฐควรพิจารณาแนวทางให้ดี กลุ่มลูกหนี้ที่เหมาะสม ไม่เช่นนั้นต้องใช้งบประมาณมากและความสำเร็จน้อย

นางสาวเกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลกระทบจากการขึ้นภาษีของทรัมป์ฉุดการผลิตอุตสาหกรรมไทยหดตัวราว 1.0% ปีนี้ ขณะที่ไทยหวังพึ่งแรงส่งจากการท่องเที่ยวได้ไม่มากเท่าปีก่อน โดยผู้ผลิตและผู้ส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า จะได้รับผลกระทบทางตรงจากการขึ้นภาษีและคำสั่งซื้อที่ลดลงของสหรัฐฯ ส่วนรถยนต์ เหล็ก อะลูมิเนียม ถูกกระทบทางอ้อมจากการแข่งขันที่รุนแรงจากเศรษฐกิจหลักในโลกที่ชะลอตัว สิ่งที่ตามมาคือแรงงานในภาคผลิตที่ทักษะต่ำจะมีความเสี่ยงด้านรายได้ โดยโรงงานอิเล็กทรอนิกส์และรถยนต์ขนาดกลางถึงใหญ่เริ่มมีสัญญาณปิดตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งจะท้าทายมากขึ้นอีกเมื่อสหรัฐฯใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ไทยต้นเดือน เม.ย.นี้

ด้านนางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า หากสหรัฐฯขึ้นภาษีนำเข้าไทยเพิ่มอีก 10% จะกระทบต่อจีดีพีปีนี้ที่ -0.3% ซึ่งได้รวมไว้ในการประมาณการจีดีพีปี 68 ที่ 2.4% แล้ว แต่ไทยจะได้รับผลกระทบมากขึ้น หากโดนภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯเพิ่มขึ้นอีก 25% จะส่งผลต่อจีดีพีเพิ่มขึ้นเป็น -0.6% และส่งผลให้ประมาณการเศรษฐกิจไทยที่มองไว้ที่ 2.4% จะปรับลดลงอีก แต่ยังอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 2.0% นอกจากนี้ ทิศทางเศรษฐกิจไทยครึ่งหลังปี 68 แทบจะไม่เติบโตเมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส จากสงครามการค้าและฐานที่สูงในช่วงเดียวกันปีก่อน รวมทั้งแรงส่งทางเศรษฐกิจลดลง ขณะที่นางสาวธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล

รองกรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า แนวโน้มดอกเบี้ยต่อจากนี้ยังเป็นขาลงทั้งในและต่างประเทศ คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะลดดอกเบี้ยลงอีก 1 ครั้งปีนี้ แต่เอกชนไทยต้นทุนการระดมทุนผ่านตราสารหนี้อาจไม่ได้ลดลงมากอย่างที่คาด ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวกรอบ 33.0-34.5 บาทต่อดอลลาร์ โดยไตรมาส 2 เงินบาทมีโอกาสแข็งค่าระยะสั้น ส่วนสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ไทยจะโตที่ 0.6% โดยสินเชื่อเอสเอ็มอีและสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ยังหดตัว สอดคล้องกับกำลังซื้อที่ไม่แน่นอน หนี้เอ็นพีแอลยังเพิ่มขึ้น ส่วนมาตรการ LTV ที่เพิ่งผ่อนคลายจะทำให้ประมาณการสินเชื่อบ้านปีนี้โตขึ้นได้อีก 0.1-0.2% จากเดิมที่คาดว่าจะโต 0.5% เท่านั้น.

อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ


เราใช้คุ้กกี้

เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น

อ่านเพิ่มเติมคลิก(Privacy Policy) และ (Cookie Policy)