ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร.ได้หารือกับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอความเห็นของภาคเอกชนไปยังรัฐบาล หลังอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจไทยได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าโลกและเตรียมรับมือทรัมป์ 2.0
โดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลได้ติดตามสถานการณ์ นโยบายการค้าของสหรัฐฯมาตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา และวันที่ 6 ม.ค.2568 ได้จัดตั้งคณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐฯพูดคุยเรื่องนี้โดยเฉพาะ ประกอบไปด้วย ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ปลัดกระทรวงต่างประเทศ และอีกหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อยากให้มั่นใจว่ารัฐบาลจะร่วมกับเอกชน โดยใช้คณะทำงานชุดนี้เป็นตัวกลางในการขับเคลื่อนนโยบายที่ประชาชนทั้ง 2 ประเทศจะได้ประโยชน์ร่วมกันต่อไป ซึ่งการหารือกับ กกร.เพื่อให้ได้แนวทางรับมือและข้อสรุปที่จะสามารถนำไปดำเนินการได้ต่อไป ทั้งมาตรการการค้า การลงทุน การยกระดับสินค้าเกษตร การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การหารือกันครั้งนี้เพื่อให้รัฐบาลกับเอกชนทำงานในทิศทางเดียวกัน ระยะเวลาการทำงานอาจมีข้อจำกัดเพราะใกล้จะถึงระยะเวลาที่สหรัฐฯจะประกาศรายชื่อประเทศที่ถูกมาตรการทางภาษีเพิ่มเติมในวันที่ 2 เม.ย.นี้ เรื่องนี้หลายประเทศก็จะเผชิญสถานการณ์เดียวกันเพราะนโยบายของทรัมป์นั้นเอาแน่นอนไม่ได้ ดังนั้น ไทยต้องเตรียมตัวให้พร้อมที่สุด ตอนนี้ทั้งภาครัฐและเอกชนก็มีข้อมูลต่างๆ เมื่อมารวมกันและทำงานกันแบบทีมไทยแลนด์โดยหากพูดไปแนวทางเดียวกัน การเจรจาก็จะไม่เสียเปรียบมากเกินไป
“ขณะนี้นายกรัฐมนตรีทราบดีเกี่ยวกับเหตุการณ์แล้ว ต้องมีการทำงานในเรื่องนี้อย่างคล่องตัวต่อไป ซึ่งการเปิดตลาดสินค้าเพิ่มให้สหรัฐฯเพื่อประโยชน์ของประเทศก็อาจจะต้องมีข้อมูลตรงนี้และการต่อรองที่อยู่ในมือแต่ว่าเรื่องนี้ยังเปิดเผยไม่ได้ในขณะนี้ เอกชนมีความพอใจในการทำงานของรัฐบาลในเรื่องการเตรียมรับมือนโยบายทรัมป์ เห็นว่ารัฐบาลทำงานอย่างหนัก โดยภาครัฐและเอกชนต้องมาดูว่าในการเจรจาจะมีอะไรที่แลกเปลี่ยนและไม่ทำให้เราเสียเปรียบมากเกินไป และมีความเป็นมิตรซึ่งกันและกันระหว่างไทยและสหรัฐฯ”
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การมาพบนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้เพื่อนำความคิดเห็นของภาคเอกชนนำเรียนต่อนายก รัฐมนตรี หลังจากที่ผ่านมานโยบายการค้าของสหรัฐฯมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย และช่วงที่ผ่านมาเศรษฐกิจโลกมีการเปลี่ยนแปลง อย่างรวดเร็ว ที่ส่งผลต่อภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจของไทย ไม่ว่าจะเป็นด้านการค้าการลงทุน และค่าเงิน ภาคเอกชนได้ตระหนักถึงความท้าทายจากปัญหาดังกล่าว จึงมุ่งมั่นที่จะทำงานกับภาครัฐอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจไทย เพื่อให้ไทยสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกได้
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหา วิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า จากการวิเคราะห์ผลกระทบของเศรษฐกิจไทย จากมาตรการภาษีของรัฐบาลทรัมป์ 2.0 ได้ขึ้นภาษีนำเข้าแล้วกับสินค้าจากจีน 20% เม็กซิโก 25% และแคนาดา 25% นั้น ส่งผลกระทบต่อไทยทางตรงและทางอ้อม คาดว่า จะทำให้มูลค่าการส่งออกไทยในปีนี้ลดลงประมาณ 56,067 ล้านบาท และผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ลดลง 0.30% แต่หากสหรัฐฯขึ้นภาษีสูงกว่านี้ และเพิ่มชนิดสินค้าที่จะจัดเก็บภาษีเพิ่ม เช่น รถยนต์ ที่จะเริ่มเก็บวันที่ 2 เม.ย.68 มีโอกาสสูงที่มูลค่าส่งออกไทยจะลดลงเกินกว่า 100,000 ล้านบาท
“หากมีผลกระทบเพิ่มเติมมากกว่านี้ เศรษฐกิจไทยก็อาจจะย่อตัวได้มากกว่านี้ แต่ภาพรวมเรายังประเมินว่าปีนี้จีดีพีจะเติบโต 3% ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่ยังอยู่ในกรอบ 2.8-3.2% ตามที่เคยประเมินไว้”.
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่
การเก็บรวบรวมข้อมูลนี้นำไปใช้เพื่อ กิจกรรมทางการตลาดโดย ยึดหลัก ปฏิบัติตามนโยบายคุ้มครองข้อมูล ส่วนบุคคล