Thairath OnlineThairath PlusThairath SportThairath TVMIRROR

ชู “บริการประทับใจ” นักเดินทาง-ท่องเที่ยว ทอท.เปิดแผนยกระดับ “สนามบินไทย” ขึ้นอันดับท็อปโลก

Date Time: 25 พ.ย. 2567 05:10 น.

Summary

  • “ทีมเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” มีโอกาสได้สัมภาษณ์ “กีรติ กิจมานะวัฒน์” กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เพื่อติดตามภารกิจการยกระดับ “สนามบิน” ของไทย และการปรับแผนกลยุทธ์เพื่อขยายขีดความสามารถสนามบินในความรับผิดชอบทั้ง 6 แห่ง

ภายหลังอุตสาหกรรมการบินทั่วโลกกลับมาเติบโตอย่างก้าวกระโดด หลังวิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด-19 จบลงส่งผลให้สายการบิน รวมทั้งสนามบินทั่วโลกเริ่มขยับตัวปรับกลยุทธ์ขยายขีดความสามารถในการรองรับกับปริมาณผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว หรือบางพื้นที่ขยายตัวสูงกว่าก่อนโควิด–19 ด้วยซ้ำ

เช่นเดียวกับสถานการณ์ของประเทศไทย ซึ่งสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ หรือ IRTA ที่เคยได้ประเมินไว้ว่าในปี 2577-2578 หรือในอีก 10 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะมีปริมาณผู้โดยสารของสายการบินเข้า-ออกเพิ่มสูงขึ้นเป็นอันดับ 9 ของโลก ซึ่งการคาดการณ์ดังกล่าวสอดคล้องกับรายงานการเติบโตของสายการบินในภูมิภาคเอเชีย

ทำให้ในช่วงที่ผ่านมา กระทรวงคมนาคม โดย “บริษัท ท่า อากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.” ไม่นิ่งนอนใจ จึงได้ทบทวนแผนแม่บทการพัฒนาขยายขีดความสามารถสนามบิน ระยะเวลา 10 ปี (ปี 2568-2578) ใหม่ เพื่อให้สอดคล้องและสามารถรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมการบินได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เนื่องจากมองว่า “สนามบิน” ถือเป็นหน้าตาของประเทศ และเป็น “ประตูบานแรก” ที่จะสร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวและผู้เดินทางเข้ามาเยี่ยมเยือนประเทศไทย

“ทีมเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” มีโอกาสได้สัมภาษณ์ “กีรติ กิจมานะวัฒน์” กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เพื่อติดตามภารกิจการยกระดับ “สนามบิน” ของไทย และการปรับแผนกลยุทธ์เพื่อขยายขีดความสามารถสนามบินในความรับผิดชอบทั้ง 6 แห่ง ประกอบด้วย สนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินดอนเมือง สนามบินเชียงใหม่ สนามบินภูเก็ต สนามบินเชียงราย และสนามบินหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ให้สามารถรองรับปริมาณผู้โดยสาร สายการบินที่เข้า-ออกประเทศไทย ที่จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ได้อย่างสมบูรณ์แบบและยั่งยืน

รวมทั้งพยายามไปให้ถึง “เป้าหมาย” ที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งรัฐบาลต้องการให้ประเทศไทยเป็น “ศูนย์กลาง” ทางการบินในภูมิภาค และผลักดันให้สนามบินของไทยติดอันดับ 1 ใน 20 สนามบินที่ดีที่สุดในโลก ซึ่ง “กีรติ” มองว่า “เป็นเป้าหมายที่ไม่ได้ไกลเกินความจริง”

ตั้งเป้า “สุวรรณภูมิ” ติดท็อป 20 สนามบินโลก

ทั้งนี้ นายกีรติเล่าให้ทีมเศรษฐกิจฟังว่า “ระหว่างเดือน ต.ค. 66-ก.ย.67 การเดินทางระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้โดยสาร และนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศไทยที่เพิ่มมากขึ้น แม้ว่าในครึ่งปีหลังจะเป็นช่วง Low Season แต่นักท่องเที่ยวต่างชาติยังคงเดินทางเข้าประเทศไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง”

ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็มีนโยบายชัดเจนที่จะผลักดันให้ประเทศไทยเป็น “ศูนย์กลางการบินในภูมิภาค” (Aviation Hub) ซึ่งการจะเป็นศูนย์กลางให้ได้ ทอท.จำเป็นต้องเร่งรัดพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในภาพรวม และปรับการให้บริการที่มีความเชื่อมโยงสะดวก รวดเร็วกับผู้โดยสาร ทั้งในพื้นที่การบิน (Airside) และภายในอาคารผู้โดยสาร

นอกจากนั้น นโยบายของกระทรวงคมนาคมยังได้วางเป้าหมายให้ ทอท.พัฒนาสนามบินทั้ง 6 แห่งของ ทอท.ไปสู่เป้าหมายศูนย์กลางการบินภูมิภาค และพยายามผลักดันให้ “สนามบินสุวรรณภูมิ” ติด 1 ใน 50 สนามบินที่ดีที่สุดในโลกในปีนี้ และจากนั้นภายใน 5 ปี อยากให้ขยับขึ้นไปติด 1 ใน 20 สนามบินที่ดีที่สุดในโลก

โดยล่าสุดสนามบินสุวรรณภูมิ ได้รับการยกย่องจากองค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก (UNESCO) ให้ติดอันดับ 1 ใน 6 สนามบินที่สวยที่สุดในโลกประจำปี 2567 (The World’s Most Beautiful List 2024)

ขณะเดียวกัน อาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (SAT-1) สนามบินสุวรรณภูมิ ยังได้รับการเสนอชื่อให้รับรางวัล “Prix Versailles” หมวดหมู่สนามบิน จากคณะกรรมการ The Prix Versailles Selection Committee ซึ่งร่วมกับ UNESCO โดยจะมีการประกาศผลอย่างเป็นทางการในวันที่ 2 ธ.ค.2567 โดยเกณฑ์การให้คะแนนการออกแบบสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นนั้น จะพิจารณาในด้านความงาม ความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรมที่ผสมผสานกับบริบททางสังคมและสิ่งแวดล้อม

ยกระดับสนามบินรับผู้โดยสาร 240 ล้านคน

ขณะที่ในด้านขีดความสามารถ เราตั้งเป้าหมายว่า “สนามบิน” จะต้องสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 240 ล้านคนต่อปีภายในปี 2575 ซึ่งการจะไปถึงจุดนั้น ต้องเร่งดำเนินการทั้งหมดใน 3 ระยะด้วยกัน ประกอบด้วย ระยะเร่งด่วน ได้สั่งการให้ดูแลเรื่องความสะอาด แก้ปัญหาจุดที่เป็นคอขวด เพิ่มความสะดวกสบายควบคู่ไปกับการลดระยะเวลารอคอย

โดยภายใต้เป้าหมายดังกล่าว ทอท.ได้ยกระดับคุณภาพการบริการและเพิ่มความรวดเร็วในการบริการในหลายด้าน อาทิ การนำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกผู้โดยสารตั้งแต่จุดตรวจคนเข้าเมือง ระบบรับกระเป๋า ไปจนถึงการเปิดใช้ช่องตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติทั้งขาเข้าและขาออก (Auto Gate) รวมถึงการนำระบบไบโอเมตริกพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล (biometric) มาใช้เพิ่มขีดความสามารถรองรับผู้โดยสาร

ส่วนระยะกลาง จะเพิ่มขีดความสามารถการรองรับผู้โดยสารและเที่ยวบินของสนามบินหลักของประเทศ และระยะยาว จะมุ่งเน้นการก่อสร้างสนามบินแห่งใหม่ รวมถึงเดินหน้าการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การเพิ่มอาคารผู้โดยสาร หรือขยายรันเวย์ ซึ่งทั้งหมดนี้ได้อยู่ในแผนพัฒนาของ ทอท.ที่วางไว้ก่อนหน้า ขณะเดียวกัน จะเร่งรัดผลักดันอุตสาหกรรมการซ่อมบำรุงอากาศยานและกิจกรรมให้มีความแข็งแกร่งอย่างยั่งยืนต่อไป

“ช่วงที่ผ่านมา ทอท.ได้เปิดใช้ทางวิ่งเส้นที่ 3 ซึ่งเพิ่มศักยภาพของสนามบินสุวรรณภูมิเพื่อรองรับเที่ยวบินจาก 68 เที่ยวบิน เป็น 94 เที่ยวบินต่อชั่วโมง ต่อเนื่องด้วยแผนขยายโครงการส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารหลักด้านทิศตะวันออก (East Expansion) มูลค่ากว่า 12,500 ล้านบาท เวลาดำเนินการ 3 ปี เพื่อรองรับผู้โดยสารเพิ่มอีก 15 ล้านคนต่อปี ซึ่งเมื่อรวมกับปริมาณผู้โดยสารปัจจุบันที่ 65 ล้านคนต่อปี จะทำให้สุวรรณภูมิรองรับผู้โดยสารได้เป็น 80 ล้านคนต่อปี”

ขณะที่การก่อสร้างอาคารผู้โดยสารด้านทิศใต้ (South Terminal) มูลค่ากว่า 140,000 ล้านบาท จะช่วยรองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นได้อีก 70 ล้านคนต่อปี โดยอาคารจะเป็นรูปแบบ Mega Terminal เพิ่มพื้นที่เชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ หรือสร้างห้างสรรพสินค้าใกล้อาคารผู้โดยสาร และก่อสร้างทางวิ่งเส้นที่ 4 เพิ่มศักยภาพรองรับเที่ยวบินได้ถึง 120 เที่ยวบินต่อชั่วโมง เมื่อนำมารวมกับขีดความสามารถปัจจุบัน จะทำให้สนามบินสุวรรณภูมิรองรับผู้โดยสารได้ 150 ล้านคนต่อปี

ในส่วนของสนามบินดอนเมือง ก็มีแผนที่จะขยายในระยะที่ 3 เพื่อรองรับผู้โดยสาร 50 ล้านคนต่อปี มีเป้าหมายที่จะทำให้สนามบินดอนเมืองเป็นสนามบินหลักรองรับเที่ยวบินภายในประเทศและเที่ยวบินระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยจะมีการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ ก่อสร้างอาคาร Junction Building เชื่อมต่อกับระบบรถไฟสายสีแดง พื้นที่จอดรถยนต์ พื้นที่สันทนาการ และพื้นที่พาณิชย์อื่นๆ

ระดมเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวก

นายกีรติยังได้ขยายความต่อว่า การจะทำให้สนามบิน ทอท.ทั้ง 6 แห่งก้าวไปสู่เป้าหมายศูนย์กลางการบินในภูมิภาค จะต้องเร่งเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกสบายให้กับผู้โดยสาร โดย ทอท.ได้นำระบบเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกี่ยวกับระบบบริการผู้โดยสารสมัยใหม่เข้ามาใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการผู้โดยสารทั้ง 6 สนามบิน ให้ได้รับความสะดวก รวดเร็ว ลดระยะเวลาการรอคอย และบรรเทาความหนาแน่นของผู้โดยสารในชั่วโมงเร่งด่วน

“ปัจจุบัน ทอท.ได้ติดตั้ง Self Check-in (Kiosk) จำนวน 250 เครื่อง ซึ่งช่วยลดเวลาในการเช็กอินจากเดิมเฉลี่ย 20 นาที เหลือน้อยกว่า 1 นาที อีกทั้งยังติดตั้งระบบรับกระเป๋าสัมภาระอัตโนมัติ (Common Use Bag Drop: CUBD) เพิ่มจำนวน 40 จุด ติดตั้งช่องตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติทั้งขาเข้าและขาออก (Auto Gate) 80 จุด และจะเพิ่มเป็น 120 จุดในอนาคต ซึ่งทำให้ ลดเวลาการคอยคิวตรวจหนังสือเดินทางลงจากเดิมเฉลี่ย 15 นาที เหลือน้อยกว่า 2 นาที”

ขณะเดียวกัน ทอท.ยังมีเป้าหมายที่จะเปิดใช้ระบบ Auto gate ทั้งหมดสำหรับผู้โดยสารระหว่างประเทศและผู้โดยสารภายในประเทศ เหมือนกับสนามบินชางงี ที่ประเทศสิงคโปร์ รวมทั้ง ทอท.ยังได้เตรียมศึกษาแผนเปิดใช้งานระบบ Early Check-in ล่วงหน้า 24 ชั่วโมง สำหรับทุกสายการบินเพื่อลดความแออัดและเพิ่มความสะดวกให้ผู้โดยสารที่มาก่อนเวลา หากศึกษาแล้วเสร็จ คาดว่าจะเปิดใช้ได้ในช่วงเดือน ก.พ.2568

“ทอท.ยังได้หารือร่วมกับสนามบินชางงี ซึ่งเป็นสนามบินที่มีความเชี่ยวชาญด้านการปรับปรุงภูมิทัศน์เป็นอันดับต้นๆของโลกในการพัฒนาสนามบินสีเขียว (Green Airport) เพื่อที่จะนำมาปรับใช้ในสนามบินที่ ทอท.ดูแลอยู่ โดย ทอท.มีแผนจะร่วมมือกับสนามบินชางงีในการผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืนที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (Sustainable Aviation Fuel: SAF) รวมถึงยังหารือกันถึงแผนการใช้พลังงานสะอาด โดยการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ภายในสนามบิน ตั้งเป้าหมายภายใน 3 ปีจะลดการใช้พลังงานช่วงกลางวันเป็นศูนย์ (Day time energy)”

ทอท.ยังมีแผนพัฒนาศูนย์ซ่อมอากาศยาน (MRO) ควบคู่ไปกับการศึกษาแผนก่อสร้างสนามบินแห่งใหม่ เช่น โครงการก่อสร้างสนามบินอันดามัน ในพื้นที่ จังหวัดพังงา วงเงินลงทุน 80,000 ล้านบาท และโครงการก่อสร้างสนามบินล้านนา ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณอำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน วงเงินลงทุน 70,000 ล้านบาท รวมทั้งการศึกษาโครงการพัฒนา Seaplane & Ferry Terminal พัฒนาพื้นที่จอดอากาศยานขึ้น-ลงในทะเลอีกด้วย

ปลื้มกำไร ทอท.ปี 67 พุ่งกว่า 100%

ท้ายที่สุด นายกีรติยังได้กล่าวถึงผลการดำเนินการในปีงบประมาณ 2567 ในรอบ 12 เดือน ระหว่างเดือนตุลาคม 2566 ถึงเดือนกันยายน 2567 ว่า ทอท.มีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้น 19,182.39 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10,391.52 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 118.21% เทียบกับปีก่อน โดยมีรายได้รวม 67,827.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40.01% รายได้จากการขายหรือการให้บริการเพิ่มขึ้น 18,980.38 ล้านบาท คิดเป็น 39.43% แบ่งเป็นรายได้เกี่ยวกับกิจการการบิน 31,000.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8,734.64 ล้านบาท คิดเป็น 39.23% เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน และรายได้ที่ไม่เกี่ยวกับกิจการการบิน 36,120.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10,245.74 ล้านบาท คิดเป็น 39.60% เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน

ในขณะที่มีค่าใช้จ่ายรวม 40,524.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6,276.70 ล้านบาท หรือ 18.33% ซึ่งน้อยกว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของรายได้รวม ทำให้สัดส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเทียบกับรายได้จากการดำเนินงานลดลงจาก 70.08% ในปีก่อนเป็น 59.71% แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายของ ทอท.

สำหรับปริมาณการจราจรทางอากาศ ณ ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ ทอท. ของปีงบประมาณ 2567 นั้น มีผู้โดยสารมาใช้บริการรวมกว่า 119.29 ล้านคน เพิ่มขึ้น 19.22% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 72.67 ล้านคน เพิ่มขึ้น 34.82% และผู้โดยสารภายในประเทศ 46.62 ล้านคน เพิ่มขึ้น 1.01%

นายกีรติยังกล่าวเสริมอย่างมั่นใจว่า จากสถานการณ์การบินและปริมาณผู้โดยสารที่เพิ่มในปีที่แล้วอย่างมีนัยสำคัญ ยิ่งตอกย้ำประมาณการปริมาณการจราจรทางอากาศ ณ ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ ทอท. ที่คาดการณ์ว่า

ในปี 2568 คาดว่าจะมีผู้โดยสารมาใช้บริการรวมกว่า 129.97 ล้านคน เพิ่มขึ้น 8.95% เทียบกับปี 2567 ขณะที่คาดว่าจะมีเที่ยวบินรวมประมาณ 808,280 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 10.32% ซึ่งสอดคล้องกับแผนเดินหน้าพัฒนาสนามบินของ ทอท. ที่มุ่งมั่นในการตอบโจทย์การขยายตัวของอุตสาหกรรมการบิน.

ทีมเศรษฐกิจ

คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปเศรษฐกิจ” เพิ่มเติม

ขออภัยในความไม่สะดวก ระบบกำลังตรวจสอบการใช้งาน กรุณาลองใหม่อีกครั้ง

Thairath Money

แบบสำรวจพฤติกรรมการลงทุนของคนรุ่นใหม่

รู้หรือไม่ว่า สามารถโยกย้ายกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) ไปเป็นกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ได้

การเก็บรวบรวมข้อมูลนี้นำไปใช้เพื่อ กิจกรรมทางการตลาดโดย ยึดหลัก ปฏิบัติตามนโยบายคุ้มครองข้อมูล ส่วนบุคคล


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ


เราใช้คุ้กกี้

เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น

อ่านเพิ่มเติมคลิก(Privacy Policy) และ (Cookie Policy)