วันที่ 19 มี.ค. (ตามเวลาสหรัฐฯ) คณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) มีมติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25 -4.50% หลังจากปรับลดอัตราดอกเบี้ยติดต่อกัน 3 ครั้งในการประชุมปี 2024 ที่ผ่านมา
โดยตัวชี้วัดล่าสุดชี้ให้เห็นว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง อัตราการว่างงานทรงตัวในระดับต่ำในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และสภาพตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง อัตราเงินเฟ้อยังคงค่อนข้างสูง อย่างไรก็ตาม แนวโน้มเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูงขึ้น
คณะกรรมการฯ พยายามที่จะบรรลุเป้าหมายการจ้างงานสูงสุดและเงินเฟ้อที่ระดับ 2% ในระยะยาว เพื่อจัดสมดุลความเสี่ยงทั้งสองด้าน จึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ย
ทั้งนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้อัปเดตคาดการณ์ดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) คณะกรรมการส่วนใหญ่มองว่าสิ้นปี 2025 อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ที่ 3.90% ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยสองครั้ง ครั้งละ 0.25% รวม 0.50% ไม่เปลี่ยนแปลงจากคาดการณ์ในเดือนธันวาคม ปี 2024 อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการมีมุมมอง Hawkish (สายเหยี่ยว) มากขึ้น โดย 4 เสียงมองว่าในปีนี้เฟดอาจไม่มีการปรับลดดอกเบี้ยเลย เพิ่มขึ้นจาก 1 เสียงในเดือนธันวาคม
นอกจากนี้ เฟดยังได้ปรับลดคาดการณ์ GDP สหรัฐฯ ปี 2025 เหลือเพียง 1.7% จาก 2.1% ในเดือนธันวาคม และเพิ่มขึ้นเป็น 1.8% สำหรับปี 2026 และ 2027 ขณะเดียวกันก็ปรับเพิ่มอัตราเงินเฟ้อ (PCE) ปี 2025 เป็น 2.7% จาก 2.5% ในเดือนธันวาคม เช่นเดียวกับอัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้นเป็น 4.4% จาก 4.3% ในเดือนธันวาคม
ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมดอกเบี้ยนโยบาย "เจอโรม พาวเวล" ประธานเฟด ได้ตอบคำถามสื่อมวลชนในงานแถลงข่าวถึงผลกระทบของมาตรการภาษีศุลกากรของทรัมป์ โดยเฟดมองว่ามาตรการภาษีศุลกากร (ภาษีสินค้าฟุ่มเฟือย สินค้านำเข้า) จะกดดันให้คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น สะท้อนจากคาดการณ์เงินเฟ้อระยะสั้นที่เพิ่มขึ้น จากการสำรวจทั้งผู้บริโภคและภาคธุรกิจ ซึ่งส่วนใหญ่มองว่ามาตรการภาษีศุลกากรเป็นปัจจัยหลักที่ผลักดันให้เงินเฟ้อสูงขึ้นในระยะข้างหน้า
“เมื่อมองไปข้างหน้า รัฐบาลกำลังดำเนินการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่สำคัญในสี่ด้านที่แตกต่างกัน ได้แก่ การค้า การย้ายถิ่นฐาน นโยบายการคลัง และการยกเลิกกฎระเบียบ ซึ่งผลกระทบโดยรวมของนโยบายเหล่านี้จะส่งผลต่อเศรษฐกิจและแนวทางของนโยบายการเงิน” พาวเวลกล่าวเสริม
แม้เฟดจะยืนยันว่าเงินเฟ้อกำลังเข้าใกล้กรอบเป้าหมายมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ในขณะเดียวกัน พาวเวลก็ยอมรับว่ามาตรการภาษีศุลกากรอาจทำให้กระบวนการดังกล่าวล่าช้าออกไป อย่างไรก็ตาม เฟดคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อจะปรับลดลงในปี 2026 และ 2027 ที่ระดับ 2.2% และ 2.0% ตามลำดับ แม้ว่าคาดการณ์ดังกล่าวจะมีความไม่แน่นอนสูง
อย่างไรก็ตาม พาวเวลมองว่า ณ ปัจจุบัน ยังไม่เห็นสัญญาณภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรง อย่างที่นักเศรษฐศาสตร์หลายคนคาดการณ์ไว้
นอกจากนี้ เฟดยังได้ชะลอการลดขนาดงบดุล (Quantitative tightening: QT) ด้วยการทยอยลดการถือครองพันธบัตร โดยจะอนุญาตให้มีการไถ่ถอนพันธบัตรรัฐบาลที่ครบกำหนดที่ 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน ลดลงจากระดับ 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน อย่างไรก็ตาม ยังคงเพดานการไถ่ถอนหลักทรัพย์ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกัน (MBS) ที่ระดับ 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
Jamie Cox ผู้จัดการหุ้นส่วนของ Harris Financial Group ให้ความเห็นว่า
“วันนี้เฟดได้ลดอัตราดอกเบี้ยทางอ้อมด้วยการชะลอการลดขนาดงบดุล เฟดมีความเสี่ยงหลายอย่างที่ต้องพิจารณาให้สมดุล และการชะลอลดการถือครองพันธบัตรนั้นเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ง่ายที่สุด การดำเนินการดังกล่าวจะช่วยให้เฟดไม่ต้องลดขนาดงบดุลในช่วงฤดูร้อน และหากโชคดี ข้อมูลเงินเฟ้ออาจจะเข้ากรอบ ซึ่งจะทำให้การลดอัตราดอกเบี้ยเป็นทางเลือกที่ชัดเจน"
ที่มา
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney