นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า บีโอไอได้เปิดให้การส่งเสริมการลงทุนในกิจการ ที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง สานต่อโครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแห่งรัฐ “บ้านล้านหลัง” ระยะที่ 3 ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ในการขอรับการส่งเสริมการลงทุน บีโอไอได้กำหนดเงื่อนไขว่าต้องจำหน่ายให้แก่บุคคลธรรมดา ราคาหน่วยละไม่เกิน 1.5 ล้านบาท เป็นเกณฑ์เดียวกันทุกพื้นที่ ทั้งประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบ (บ้านแถวหรือบ้านเดี่ยว) หรือแนวสูง (อาคารชุด-คอนโดมิเนียม) บ้านแถวหรือบ้านเดี่ยว ต้องมีพื้นที่ใช้สอย 70 ตารางเมตร (ตร.ม.) กรณีก่อสร้างอาคารชุด ต้องมีพื้นที่ใช้สอยต่อหน่วย 24 ตร.ม. ต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ได้มาตรฐาน เช่น กล้องวงจรปิดทั้งโครงการ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง พื้นที่ส่วนกลาง ฯลฯ โดยต้องได้รับความเห็นชอบจาก ธอส. ก่อนยื่นคำขอรับการส่งเสริม
“โครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน ได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี โดยวงเงินที่นำมายกเว้นภาษีเงินได้ จะไม่เกินกว่าเงินลงทุนส่วนค่าก่อสร้างถนน สาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ใช้เป็นส่วนกลางสำหรับสาธารณประโยชน์ของโครงการ ผู้ที่ประสงค์ขอรับการส่งเสริม ต้องยื่นคำขอภายในปี 2568”
ทั้งนี้ บีโอไอเคยให้การส่งเสริมกิจการพัฒนาที่อยู่อาศัย สำหรับผู้มีรายได้น้อยในปี 2536-2557 และกลับมาให้การส่งเสริมอีกครั้งในปี 2563 ตามข้อเสนอของ ธอส. ภายใต้โครงการบ้านล้านหลัง โดยมีโครงการที่ยื่นขอเมื่อปี 2563 ได้รับอนุมัติและออกบัตรส่งเสริม 44 โครงการ จาก 11 บริษัทอยู่ในรูปแบบคอนโดมิเนียมรวม34,900 ห้อง ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ นนทบุรี สมุทรปราการ ปทุมธานี นครปฐม ชลบุรี
“ที่อยู่อาศัยเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการดำรงชีพของประชาชน ถือเป็นค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ที่สุดส่วนหนึ่งของครอบครัว บีโอไอจึงให้ความสำคัญในการสนับสนุนให้ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย กลุ่มคนวัยทำงานที่กำลังเริ่มสร้างครอบครัว กลุ่มผู้สูงอายุให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้ โดยช่วยเพิ่มทางเลือกที่อยู่อาศัยในทำเลที่ตั้งที่มีสภาพแวดล้อมที่ดี เป็นที่พักที่มีมาตรฐานในระดับราคาเหมาะสม”.
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่