ธุรกิจทัวร์จีนมารูปแบบใหม่ผูกขาดเฉพาะคนจีน โดยร่วมมือกันระหว่างบริษัทขายส่งทัวร์รายใหญ่ในจีนกับกลุ่ม “จีนเทา” ที่อยู่ในไทย ผู้ประกอบการไทยชี้เป็นรูปแบบของ “ทัวร์อั้งยี่” รุนแรงยิ่งกว่า “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” เผย “บิ๊กโจ๊ก” รู้เรื่องแล้ว ขณะที่กรมการท่องเที่ยววิ่งวุ่นหาทางแก้ปัญหา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังรัฐบาลจีนเปิดประเทศและอนุญาตให้คนจีน เดินทางออกนอกประเทศในลักษณะกรุ๊ปทัวร์ได้ ปรากฏว่า มีลักษณะของทัวร์จีนรูปแบบใหม่ที่ส่อเค้าจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อการท่องเที่ยวไทย ยิ่งกว่าทัวร์ศูนย์เหรียญ เนื่องจากในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 เป็นเวลา 3 ปีที่ทั่วโลกหยุดการเดินทางท่องเที่ยว ได้มีชาวจีนจำนวนมากที่ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทย จนมีเส้นสายและเริ่มต้นทำธุรกิจในไทยแบบปักหลัก คนจีนบริหารกันเอง โดยเฉพาะการเปิดร้านอาหาร ภัตตาคารขนาดใหญ่ เป็นต้น เมื่อรัฐบาลจีนเปิดประเทศให้คนจีนเดินทางท่องเที่ยวนอกประเทศในรูปแบบกรุ๊ปทัวร์ได้ จึงมีบริษัทขายส่งทัวร์ขนาดใหญ่ (hold sale) ในประเทศจีน จัดรูปแบบการทำทัวร์ในลักษณะผูกขาดโดยชาวจีน 100% ร่วมกับกลุ่มคนจีนที่ทำธุรกิจในไทยอยู่แล้ว จัดทำกรุ๊ปทัวร์โดยไม่มีบริษัททัวร์ไทยมาเกี่ยวข้องเลย และขายทัวร์ในราคาที่ถูกมากจนบริษัททัวร์ไทยไม่สามารถแข่งขันได้
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการทัวร์ของไทย มองว่า ปรากฏการณ์นี้จะรุนแรงยิ่งกว่าทัวร์ศูนย์เหรียญและเรียกขานได้ว่าเป็น “ทัวร์อ้ังยี่” เพราะทำกันเฉพาะกลุ่มชาวจีนแบบผูกขาด ทั้งยังผิดกฎหมายของไทย ประเด็นสำคัญคือ เงินทุกบาททุกสตางค์ที่นักท่องเที่ยวชาวจีนจ่ายไม่ตกถึงมือคนไทย โดยเริ่มจากจัดส่งไกด์ชาวจีนเข้ามาประเทศไทยลอตแรก 70 คน เพื่อทำหน้าที่แทนไกด์ไทย ซึ่งผิดกฎหมายของไทยที่กำหนดให้ไกด์เป็นอาชีพสงวนสำหรับคนไทยเท่านั้น นอกจากนี้ บริษัททัวร์ของคนจีนที่แต่เดิมเคยแอบแฝงทำทัวร์ศูนย์เหรียญในไทย ตอนนี้ก็ผันตัวเองมาเป็นนายหน้าให้บริษัททัวร์รายใหญ่ของจีน โดยเรื่องนี้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รับทราบแล้ว ขณะที่ไกด์จีนที่ทำผิดกฎหมาย ทยอยถูกจับกุมแล้ว
นายจาตุรนต์ ภักดีวานิช อธิบดีกรมการท่องเที่ยว กล่าวว่า กรมฯได้เปิดลงทะเบียนบริษัทนำเที่ยวที่ทำธุรกิจคู่ค้ากับจีนถึงวันที่ 31 มี.ค. 2566 มีบริษัทนำเที่ยวลงทะเบียนแล้วกว่า 100 บริษัท จาก 10,000 บริษัท จึงได้ประสานงานไปยังกงสุล ไทยในจีน หากพบว่าบริษัทที่ไม่อยู่ในลิสต์บริษัทนำเที่ยวที่ทำธุรกิจคู่ค้ากับจีน สถานทูตจีนจะตรวจประวัติย้อนหลังอย่างเข้มข้น ว่ามาพักที่ไหน และราคาทัวร์เท่าไหร่ หากพบผิดปกติ เช่น ราคาต่ำกว่าทุน จะส่งข้อมูลให้ไทยพิจารณาอีกครั้ง หากเป็นคู่ค้าถูกต้อง ไม่ใช่นอมินี จึงจะออกวีซ่าให้นักท่องเที่ยวที่มากับทัวร์นั้นได้
“จากการหารือกับสถานทูตจีนในประเทศไทยบอกว่า ถ้าบริษัทจีนทำความเสียหายกับไทย เช่น ทิ้งทัวร์ ใช้ไกด์นอมินี ใช้ไกด์จีน ให้ส่งผู้กระทำผิดให้จีนด้วย รัฐบาลจีนจะใช้กฎหมายลงโทษด้วย ซึ่งน่าจะมีประสิทธิภาพที่สุด เพราะคนเหล่านี้ไม่ได้กลัวกฎหมายไทย แต่กลัวกฎหมายจีน ดังนั้นหากไทยจับได้ว่ามากระทำความผิดในไทยก็ส่งให้ทางการจีนลงโทษ เพราะกฎหมายจีนมีโทษหนักกว่าไทย”
ด้านนายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่า บริษัททัวร์เริ่มเห็นสัญญาณการขายแพ็กเกจทัวร์ในราคาต่ำ และทัวร์ศูนย์เหรียญ แต่เบื้องต้นยังไม่มีรายงานผู้ประกอบการได้รับผลกระทบ อาจเป็นเพราะชาวจีน เดินทางมากับทัวร์ยังมีจำนวนน้อยอยู่ ซึ่งเรื่องนี้ขอให้ภาครัฐ แก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ พร้อมสื่อสารทำความเข้าใจว่า ทัวร์ที่ดี ราคาไม่ถูก ถ้าทัวร์พาไปทานอาหารดีๆ ราคาทัวร์ก็ต้องสูงขึ้นอยู่แล้ว
“ปัจจุบันบริษัททัวร์ในประเทศจีนหลายแห่งยังไม่กลับมาเปิดกิจการ หรือที่กลับมาแล้วก็ไม่สามารถจัดหาตั๋วเครื่องบินเพื่อจัดทำแพ็กเกจทัวร์ได้ เนื่องจากบริษัททัวร์รายใหญ่ของจีนเหมาบัตรโดยสารไปก่อนหน้าแล้ว”
ส่วนสถานการณ์คนจีนเดินทางเข้าไทยในช่วงไตรมาสแรกปี 2566 แล้ว 500,000 คน จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาเที่ยวไทยทั้งหมด 6 ล้านคน และมั่นใจว่าในไตรมาส 2 นี้ จะถึง 1 ล้านคน เนื่องจากมีสัญญาณการเพิ่มเที่ยวบินและการเปิดเที่ยวบินเช่าเหมาลำ โดย 60% ที่เข้ามาเป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางด้วยตนเอง (เอฟไอที) และบางส่วนมาซื้อแพ็กเกจทัวร์ในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์เที่ยวบินระหว่างไทยและจีนไม่ฟื้นตัวดังที่คาดไว้ อาจมีนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางเข้าประเทศไทยราว 500,000 คนเท่านั้น.