จับตา "ราคาน้ำมันดีเซล" ปี 66 เฉลี่ยอยู่ที่ 34.7 บาทต่อลิตร แพงกว่าปี 65 เล็กน้อย หลังรัฐเร่งเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันอีกครั้ง แนะประชาชน และภาคธุรกิจรับมือเพื่อรับผลกระทบ
นายพงษ์ประภา นภาพฤกษ์ชาติ นักวิเคราะห์จาก Krungthai COMPASS ประเมินว่า ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลเฉลี่ยในปี 2566 จะอยู่ที่ 34.7 บาทต่อลิตร ซึ่งสูงขึ้นจาก 33.1 บาทต่อลิตร ในปี 2565 แม้ว่าราคาน้ำมันสำเร็จรูปหน้าโรงกลั่นจะลดลงแล้วตามทิศทางของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก แต่ภาครัฐมีแนวโน้มจะกลับมาเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากน้ำมันดีเซลอีกครั้ง เพื่อลดภาระที่ได้ทำการอุดหนุนในช่วงที่ผ่านมา
สำหรับโครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปของไทย แบ่งออกเป็น 4 หลักได้แก่
1. ราคาหน้าโรงกลั่น เป็นราคาขายน้ำมันสำเร็จรูปของผู้ประกอบการโรงกลั่นน้ำมัน ซึ่งอ้างอิงจากราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ซื้อขายผ่าน Singapore International Monetary Exchange (SIMEX) ซึ่งจะผันแปรตามต้นทุนน้ำมันดิบดูไบ ซึ่งเป็นหนึ่งในวัตถุดิบหลักของธุรกิจโรงกลั่นในสิงคโปร์ และค่าการกลั่นของสิงคโปร์ หรือ GRM โดยราคาหน้าโรงกลั่นของน้ำมันดีเซลและน้ำมันเบนซินเฉลี่ยทั้งปี 2565 อยู่ที่ 30.2 บาทต่อลิตร และ 25.9 บาทต่อลิตร
2. ภาษีสรรพาสามิต เป็นภาษีที่จัดเก็บจากสินค้าและบริการที่ก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ และศีลธรรม รวมทั้งมีลักษณะฟุ่มเฟือย และสินค้าและบริการที่ได้รับผลประโยชน์พิเศษจากกิจการของรัฐ เช่น รถยนต์ รถจักรยานยนต์ น้ำมันสำเร็จรูป สุรา ยาสูบ โดยอัตราการเก็บภาษีน้ำมันสำเร็จรูปอยู่ประมาณ 0.975-6.5 บาทต่อลิตร ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของน้ำมัน
ปัจจุบัน ภาษีสรรพสามิตดีเซลและเบนซินเฉลี่ย อยู่ที่ 1.34 บาทต่อลิตร และ 4.88 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ทั้งนี้ ภาษีสรรพสามิตดีเซลในอัตราปัจจุบันได้รับการลดหย่อนจากภาครัฐแล้วที่ 5 บาทต่อลิตร ซึ่งมาตรการอุดหนุนดังกล่าวคาดว่าจะสิ้นสุดใน 20 พ.ค. 66
3. กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นเงินที่เก็บจากผู้ใช้น้ำมัน เพื่อนำไปใช้ชดเชยราคาน้ำมันในกรณีที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีความผันผวนสูง หรือแพงเกินไป โดยในปี 2565 กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้อุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลเฉลี่ยที่ 4.02 บาทต่อลิตร ขณะที่เก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพิ่มจากน้ำมันเบนซินเฉลี่ยที่ 1.24 บาทต่อลิตร
4. ค่าการตลาด เป็นกำไรขั้นต้นก่อนหักค่าใช้ในการดำเนินงาน เช่น ค่าขนส่ง ค่าแรงงาน และค่าใช้จ่ายบริหารและการตลาด ของผู้ค้าน้ำมันสำเร็จรูปทั้งหมด ซึ่งแบ่งกันระหว่างบริษัทค้าน้ำมันสำเร็จรูป เช่น บมจ.ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก หรือ OR และเจ้าของสถานีบริการเชื้อเพลิง (ปั๊มน้ำมัน) โดยในปี 2565 ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลและเบนซินเฉลี่ยอยู่ที่ 1.28 บาทต่อลิตร และ
สำหรับปี 2566 Krungthai COMPASS คาดว่าราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นจาก 33.1 บาทต่อลิตร ในปี 2565 เป็น 34.7 บาทต่อลิตร ในปี 2566 โดยมีสาเหตุหลักจาก
1. คาดว่าคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) จะกลับมาเก็บเงินจากน้ำมันดีเซลเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอีกครั้ง หลังจากนำเงินจากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปอุดหนุนราคาขายปลีกดีเซลในปี 2565
2. ภาครัฐมีแนวโน้มปรับภาษีสรรพสามิตดีเซลเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ อัตรากำไรสุทธิของภาคธุรกิจโดยรวมของไทยจะลดลงราว 0.06% สำหรับทุก 1% ของค่าน้ำมันดีเซลที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจที่ใช้น้ำมันดีเซลอย่างเข้มข้น เช่น กลุ่มธุรกิจขนส่งสินค้าและผู้โดยสารทางถนน ซึ่งประเมินว่าหากค่าน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 1% อัตรากำไรของผู้ประกอบการกลุ่มนี้มีแนวโน้มจะลดลงราว 0.27% และ 0.43% ตามลำดับ
อย่างไรก็ตามภาคธุรกิจของไทย โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจขนส่งทางถนน จึงควรปรับตัว เพื่อลดผลกระทบจากต้นทุนน้ำมันดีเซล ดังนี้
1. ติดตั้ง Real-time GPS Tracking หรือ Telematics ในยานพาหนะขนส่งสินค้า และขนส่งโดยสารทางถนน เพื่อควบคุมพฤติกรรมการขับรถที่สิ้นเปลืองน้ำมัน
2. จัดตั้งคลังสินค้าให้อยู่ใกล้กับจังหวัดของลูกค้าหลัก และขนส่งสินค้าร่วมกับผู้ประกอบการรายอื่นๆ ที่ใช้เส้นทางเดียวกัน
3. หันมาใช้รถบรรทุกไฟฟ้า แทนที่รถบรรทุกที่ใช้น้ำมันดีเซล