ไทยพร้อมรับ "เที่ยวล้างแค้น" การบิน-โรงแรม-อาหาร-อสังหาริมทรัพย์ คึกคัก

Economics

Analysis

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

ไทยพร้อมรับ "เที่ยวล้างแค้น" การบิน-โรงแรม-อาหาร-อสังหาริมทรัพย์ คึกคัก

Date Time: 16 ม.ค. 2566 06:50 น.

Summary

  • Welcome back to Thailand ในปี 2566 นี้คนไทยจะได้เห็นนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก กลับมาเที่ยวประเทศไทยเต็มที่ ภายใต้ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “เที่ยวล้างแค้น” (Revenge Travel)

Latest

Credit Scoring กับการเติบโตของเศรษฐกิจ

Welcome back to Thailand ในปี 2566 นี้คนไทยจะได้เห็นนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก กลับมาเที่ยวประเทศไทยเต็มที่ ภายใต้ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “เที่ยวล้างแค้น” (Revenge Travel) เพื่อปลดปล่อยความอัดอั้น หลังไม่ได้ท่องเที่ยวต่างประเทศมา 3 ปี ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) รีบประกาศตั้งแต่ต้นปีที่จะขับเคลื่อนท่องเที่ยวไทย ปี 2566 ให้กลับมาเป็นเครื่องยนต์หลักในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ สร้างรายได้ให้ประเทศ 2.38 ล้านล้านบาท

หลังจากสรุปตัวเลขในปี 2565 นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้าไทยเกินกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 10 ล้านคน โดยมีจำนวน 11.8 ล้านคน เมื่อรวมกับจำนวนคนไทยเที่ยวในประเทศ 189 ล้านคน-ครั้ง สูงกว่าเป้า 165 ล้านคน-ครั้ง ทำให้มั่นใจได้ว่ารายได้รวมจะไม่ต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 1.5 ล้านล้านบาทอย่างแน่นอน

มาถึงปี 2566 ททท.ประเมินว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาเที่ยวไทย 25 ล้านคน สร้างรายได้ 1.54 ล้านล้านบาท ส่วนอีก 833,000 ล้านบาท จะเป็นรายได้ของคนไทยที่เที่ยวในประเทศ รวมเป็น 2.38 ล้านล้านบาท

แต่ยังมีตัวเลขที่เป็น Best Case Scenario หรือสถานการณ์ที่ดีที่สุดที่ ททท.ยังไม่กล้าประกาศออกมา คือ ในปีนี้ไทยมีโอกาสต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติถึง 30 ล้านคน โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนประกาศเปิดประเทศให้ชาวจีนแผ่นดินใหญ่ออกเดินทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศได้ตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค.2566 เป็นต้นมา

คงจะรอจนกว่าสถานการณ์เที่ยวบินเข้า-ออกประเทศไทยของปี 2566 จะกลับมาปกติ หรือใกล้ปกติก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เคยมีเที่ยวบินเยอะจนมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยสูงสุด 39.79 ล้านคน ในปี 2562 และรัฐบาลจีนอนุญาตให้ท่องเที่ยวผ่านบริษัทนำเที่ยวได้

“ทีมเศรษฐกิจ” ได้รวบรวมปฏิกิริยาต่างๆ ที่ได้อานิสงส์หลังเครื่องยนต์ด้านท่องเที่ยวสตาร์ตติด อาทิ เงินบาทที่เคยอ่อนค่าลงไปถึง 38.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือน ต.ค.65 บัดนี้ได้กลับมาแข็งค่าขึ้นที่ 32.95 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ด้านตลาดหุ้นไทยและธุรกิจต่างๆที่เกี่ยวเนื่องก็ได้กลับมาฟื้นตัวตาม โดยเฉพาะธุรกิจการบินและสนามบินได้กลับมาคึกคักกันอีกครั้ง

เรื่องวุ่นๆของรัฐบาลไทย

จากนโยบายการเปิดประเทศของจีนล่าสุด ได้เกิดเรื่องวุ่นๆที่ทำให้นักท่องเที่ยวและบริษัทนำเที่ยวทั่วโลกในฟากฝั่งยุโรปกุมขมับและด่ารัฐบาลไทยไป 3-4 วัน ว่าไปออกมาตรการถอยหลังทำไม?

ซึ่งเป็นมาตรการหลังจากที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ได้เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงคมนาคม และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อหามาตรการรองรับนักท่องเที่ยวจีน โดยชูนโยบายยึดหลักเท่าเทียมทุกชาติไม่เลือกปฏิบัติ

ประกอบด้วย ผู้เดินทางต้องรับวัคซีนอย่างน้อย 2 เข็ม และหากประเทศต้นทางมีเงื่อนไขผลตรวจ RT-PCR เป็นลบก่อนกลับ ต้องซื้อประกันสุขภาพที่ครอบคลุมการตรวจรักษาโรคโควิด-19 โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 9 ม.ค.2566

มองดูเผินๆเหมือนไม่มีอะไร แต่ในทางปฏิบัติการออกประกาศที่ฉุกเฉินเกินไปทำให้นักท่องเที่ยวที่ออกเดินทางแล้วไม่ได้นำใบรับรองการฉีดวัคซีนมาด้วย และมีกลุ่มนักท่องเที่ยวที่รับวัคซีนไม่ครบและไม่ได้รับวัคซีนที่เดินทางถึงสนามบินแล้วถูกสายการบินปฏิเสธขึ้นเครื่องทันที และไม่เข้าข่ายที่จะขอเงินคืนจากสายการบินได้ ส่งผลกระทบกับธุรกิจของบริษัทนำเที่ยวที่ขายแพ็กเกจล่วงหน้าไปแล้ว

แต่ทันใดที่รัฐบาลไทยได้รับการร้องเรียนเรื่องดังกล่าวก็ได้ยกเลิกข้อกำหนดเดิมและออกข้อกำหนดใหม่ให้มีผลเริ่มใช้วันที่ 10-31 ม.ค.2566 โดยยกเลิกข้อกำหนดการรับวัคซีนก่อนเดินทางเข้าประเทศไทย

กระนั้นก็ตาม ในช่วงวันที่ 9 ม.ค.ซึ่งเป็นวันที่ประกาศเดิมยังมีผล ก็มีตัวอย่างปัญหาที่เกิดขึ้น เช่น ทำให้นักท่องเที่ยวชาวอเมริกาที่เที่ยวอยู่ในไทยระยะหนึ่งแล้ว ได้บินออกไปเที่ยวเวียดนาม และไม่สามารถบินกลับมาไทยได้เพราะไม่ได้พกเอกสารรับรองการฉีดวัคซีนติดตัว ทำให้ถูกปฏิเสธขึ้นเครื่องบินกลับไทย

จึงกลายเป็นเสียงบ่นด่าตามมา และเป็นเครื่องเตือนใจรัฐบาลว่าการออกมาตรการใดๆต้องรับฟังผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนและคิดให้รอบคอบ

เคลียร์สนามบินรองรับ

สำหรับประตูด่านหน้าในการรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ ทั้ง บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) ที่กำกับดูแลสนามบินกว่า 6 แห่ง คาดว่าในปี 2566 จำนวนผู้โดยสารจะกลับเข้าสู่ปกติในช่วงก่อนโควิด หรือมากกว่าเดิมที่ 60 ล้านคนต่อปี จึงเตรียมเปิดการใช้งานอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (SAT 1) ในกลางปี 2566 จะสามารถรองรับปริมาณผู้โดยสารได้อีกประมาณ 15 ล้านคนต่อปี

ด้านสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) อำนวยความสะดวกเปิดช่องตรวจคนเข้าเมือง 119 ช่องตรวจ สามารถระบายผู้โดยสารได้ 7,140 คนต่อชั่วโมง (ชม.) แบ่งเป็น โซนตะวันออก 56 ช่องตรวจ ระบายผู้โดยสารได้ 3,360 คน/ชม.

โซนกลาง 20 ช่องตรวจ 1,200 คน/ชม. โซนตะวันตก 43 ช่องตรวจ 2,580 คน/ชม. นอกจากนี้ยังได้มีเครื่องตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ 32 เครื่อง แบ่งเป็น ขาเข้า 16 เครื่อง และขาออก 16 เครื่อง

ขณะเดียวกันเพื่ออำนวยความสะดวกผู้โดยสารที่มาใช้บริการเพิ่มขึ้นควบคู่กับการบริการทางภาคพื้น ทอท.ยังได้เปิดแอปพลิเคชัน “SAWASDEE by AOT” ที่ช่วยให้ผู้โดยสารเช็กข้อมูลและสถานะเที่ยวบินแบบ Real-time พร้อมระบบแจ้งเตือนแบบอัจฉริยะเมื่อใกล้เวลาเดินทาง เช็กสถานะกระเป๋าเดินทาง จองที่จอดรถ จองรถแท็กซี่ และสามารถค้นหาข้อมูลรถสาธารณะ รวมถึงร้องเรียนและติชมการให้บริการของสนามบิน

สายการบินขอสลอตเข้าไทย

ส่วนสถานการณ์ของสายการบินที่บินเข้าประเทศไทย ปรากฏว่าภายหลังจีนประกาศเปิดประเทศ มีความต้องการของชาวจีนที่ต้องการเดินทางมาประเทศไทยอย่างล้นเหลือ แต่ติดที่สายการบินยังให้บริการไม่เพียงพอ จึงมีการเสนอขอเที่ยวบินเข้าไทยตั้งแต่วันที่ 9 ม.ค.ที่ผ่านมา อาทิ จุนเหยา แอร์ไลน์, สปริงแอร์, แอร์ ไชน่า, เสฉวน แอร์ไลน์ เป็นต้น

โดยสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ได้จัดสรรเวลาการบิน (Slot) ให้ทั้งสิ้น 1,035 เที่ยวบิน ในช่วงตารางการบินประจำฤดูหนาวถึง 31 มี.ค.2566

แบ่งเป็น เดือน ม.ค. 264 เที่ยวบิน, เดือน ก.พ. 424 เที่ยวบิน และเดือน มี.ค. 347 เที่ยวบิน

พร้อมกันนี้ กพท.ได้กระจายเที่ยวบินให้ไปลงในจังหวัดต่างๆเพื่อไม่ให้มากระจุกตัวและแออัดอยู่ที่สนามบิน แบ่งเป็น เครื่องบินจากจีนไปลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ 353 เที่ยวบิน, สนามบินดอนเมือง 211 เที่ยวบิน, สนามบินภูเก็ต 271 เที่ยวบิน และสนามบินเชียงใหม่ 200 เที่ยวบิน

อย่างไรก็ตามทาง กพท.ยังมั่นใจว่าเที่ยวบินที่สายการบินจากจีนขอตารางบินเข้าไทยจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากมีการเสนอขอเข้ามาทุกวัน อาทิ ไชน่า อีสเทิร์น แอร์ไลน์ และไทยเวียดเจ็ต ที่อยู่ระหว่างขอใบอนุญาต เป็นต้น

หุ้นรับอานิสงส์ท่องเที่ยวฟื้น

การเปิดประเทศของจีน ทำให้ภาคการท่องเที่ยวของไทยกลับมาคึกคักฟื้นตัวสร้างรายได้เข้าประเทศ นับเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัว สวนทางเศรษฐกิจสหรัฐฯและยุโรปที่มีความเสี่ยงถดถอยกระตุ้นให้ Fundflow หรือกระแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้าไทย

โดยนับจากต้นปีเข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้แล้วร่วม 100,000 ล้านบาท ขณะที่เข้ามาซื้อสุทธิหุ้นไทยตั้งแต่กว่า 20,000 ล้านบาท หุ้นและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยวได้อานิสงส์รับประโยชน์เต็มๆ

บล.เอเซีย พลัส ออกบทวิเคราะห์หุ้น 2 กลุ่มหลักที่ได้ประโยชน์ ได้แก่ 1.ภาคการท่องเที่ยว โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในไทยมากกว่าที่ ททท.คาดไว้ทั้งปี โดยนักท่องเที่ยวชาวจีนเคยมีสัดส่วนสูงถึง 30% (ราว 11 ล้านคน) ของนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยในปี 2562 ดีต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้องทั้งสนามบิน โรงแรมและค้าปลีกหุ้น AOT, CENTEL, ERW

2.ภาคการส่งออก โดยในภาวะปกติปี 2562 ไทยมีสัดส่วนการส่งออกไปจีนราว 12% ของมูลค่าการส่งออก และอยู่อันดับ 2 ของมูลค่า การส่งออกไทยรายประเทศ ขณะที่ข้อมูล 10 เดือนปี 2565 การส่งออกจากไทยไปจีนยังติดลบ 6% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งสินค้าส่งออก 5 อันดับแรก นำโดย 1.ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง 2.ผลิตภัณฑ์ยาง 3.เม็ดพลาสติก 4.ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง 5.เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ

ดังนั้น หากจีนเปิดประเทศ การค้าของไทยกับจีนน่าจะกลับมาฟื้นตัวขึ้น โดยหุ้นหรือบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯจะได้ประโยชน์ เช่น NER, STA, HANA, KCE, TKN แต่ในอีกมุมการกลับมาเปิดเศรษฐกิจของประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับ 2 ของโลก มีโอกาสผลักดันราคาน้ำมัน ปิโตรเคมีและโรงกลั่นให้สูงขึ้นรวมทั้งสินค้าเกษตร จึงทำให้ภาวะเงินเฟ้อปี 2566 ของแต่ละประเทศ เป็นปัจจัยที่ตลาดจับตา ขณะที่มีความเสี่ยงที่ยังต้องติดตามคือการระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ด้วย

5 ธุรกิจได้ประโยชน์โดยตรง

ขณะที่ บล.กสิกรไทย ประเมินค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าในปี 2566 เพราะได้แรงหนุนจากแนวโน้มดุลบริการที่เพิ่มขึ้นจากนักท่องเที่ยวจีนที่เพิ่มขึ้น และส่งผลบวกต่อหุ้นที่เกี่ยวข้องกับจีน อาทิ กลุ่มน้ำมัน กลุ่มโรงกลั่น กลุ่มโรงแรม โรงพยาบาล กลุ่มสายการบิน และกลุ่มอาหาร เป็นต้น

โดยคาดว่าจะปรับขึ้นในทางเดียวกัน โดย 5 กลุ่มธุรกิจที่จะได้ประโยชน์ทางตรง คือ 1.กลุ่มโรงพยาบาล เช่น บมจ.เอกชัยการแพทย์ หรือโรงพยาบาลเอกชัย (EKH) เพราะได้ประโยชน์มากที่สุดจากนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้าไทย คาดจะเห็นชาวจีนที่ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก (IVF) จะสูงกว่าระดับก่อนเกิดโควิด-19 ในปี 2562 รวมถึง บมจ.เดอะคลีนิกค์ (KLINIQ) คลินิกเวชกรรมความงาม ศัลยกรรมตกแต่ง คาดจะได้ประโยชน์เช่นกัน นอกจากนี้ บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) จะได้ประโยชน์ทางตรงจากการที่มีโรงพยาบาลในจังหวัดท่องเที่ยวหลักของไทยด้วย

2.กลุ่มโรงแรม คาดได้ประโยชน์ทั้งโรงแรมในประเทศและในยุโรป มอง ERW ได้ประโยชน์มากสุด 3.กลุ่มสายการบิน 4.กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ โดยมองบวกต่อ CPN เพราะได้ประโยชน์จากนักท่องเที่ยวจีนที่เพิ่มขึ้น รวมถึง ANAN และ SIRI 5.กลุ่มพลังงาน น้ำมัน และโรงกลั่น

เที่ยวไม่หวั่นเงินบาทแข็ง

ทางด้านค่าเงินบาทพบว่าได้หวนกลับมาแข็งค่าขึ้น แต่ประเด็นการแข็งค่าของเงินบาท ไม่สามารถต้านทานหรือฝืนกระแสการไหลบ่าของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยวเมืองไทยได้

ยกตัวอย่าง เช่น ในช่วงเดือน ต.ค.2565 ที่เงินบาทอ่อนค่าลงมาแตะ 38.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ นักท่องเที่ยวต่างชาตินำเงิน 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ นำมาแลกเป็นเงินบาทได้ 3,830 บาท แต่ปัจจุบัน 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ แลกได้เพียง 3,300 บาท หรือเท่ากับว่าค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวในประเทศไทยแพงขึ้นทันที

ขณะนี้ค่าเงินบาทแข็งค่ามาอยู่ที่ 32.95 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และอีกไม่นานมีโอกาสแข็งค่าแตะที่ 32.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งหมดนี้ได้รับแรงหนุนจากเงินต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น และพันธบัตร อีกทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติหอบเงินเข้ามาท่องเที่ยวไทย

หากมองย้อนกลับไปในช่วงที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด ปรับขึ้นดอกเบี้ยแบบไม่ยั้ง ส่งผลให้เกิดกระแสเงินทุนไหลออก เงินบาทอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว ในเดือน ต.ค.2565 ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงมาแตะ 38.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ

ในช่วงเวลานั้น ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าถือเป็นตัวดึงดูดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ และทำให้ผู้ประกอบการส่งออกของไทยมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน แต่พอในช่วงปลายปี 2565 นักท่องเที่ยวต่างชาติแห่มาท่องเที่ยวไทย มีการนำเงินตราต่างประเทศมาใช้จ่าย จนดุลบัญชีเดินสะพัดกลับมาเกินดุลในไตรมาส 4 ปี อีกทั้งเฟดส่งสัญญาณชะลอขึ้นดอกเบี้ย ทำให้เงินบาทกลับมาแข็งค่าอย่างเร็ว

สิ้นปี 2565 ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ 34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และพอเริ่มต้นปี 2566 กระแสนักท่องเที่ยวต่างชาติแห่เที่ยวไทยอย่างต่อเนื่อง ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นบวกมากขึ้น ยิ่งหนุนให้ค่าเงินบาทแข็งขึ้น กรณีนี้นับว่าได้รับอานิสงส์จากการท่องเที่ยวฟื้นขึ้นเต็มๆ.

ทีมเศรษฐกิจ


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ