หุ้น Big Tech ร่วงหนัก สัญญาณเตือนเศรษฐกิจเดินหน้าสู่ภาวะถดถอย

Economics

Analysis

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

หุ้น Big Tech ร่วงหนัก สัญญาณเตือนเศรษฐกิจเดินหน้าสู่ภาวะถดถอย

Date Time: 4 พ.ย. 2565 00:04 น.

Video

ล้วงไส้ TEMU อีคอมเมิร์ซจีน บุกไทย ทำไมอาจสร้างวิบากกรรมกว่าที่คิด ? | Digital Frontiers

Summary

  • หุ้น Alphabet, Microsoft, Meta และ Amazon อ่อนไหวหนัก หลังรายงานผลงานโดยรวมแย่กว่าที่ตลาดคาด รับแรงกดดันอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยพุ่งสูง ส่งสัญญาณเดินหน้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย

Latest


หุ้น Alphabet, Microsoft, Meta และ Amazon อ่อนไหวหนัก หลังรายงานผลงานโดยรวมแย่กว่าที่ตลาดคาด รับแรงกดดันอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยพุ่งสูง ส่งสัญญาณเดินหน้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย 

ในสัปดาห์นี้มีบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่หลายแห่งได้มีการรายงานผลประกอบการ ซึ่งกลายเป็นที่น่าจับตามองเป็นพิเศษในบรรดานักลงทุนโดยเฉพาะ Alphabet, Microsoft, Meta และ Amazon ที่แนวโน้มของอุตสาหกรรมได้สร้างความตื่นตระหนกไม่น้อยเลยทีเดียว ซึ่งนักวิเคราะห์จาก Wall Street ได้ประเมินสถานการณ์ว่าผลประกอบการที่ไม่สดใสของกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้ จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง เนื่องจากเห็นสัญญาณความกดดันที่เกิดจากอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่พุ่งสูงขึ้น กำลังกดดันภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจมากกว่าที่คาดการณ์ไว้

ที่ผ่านมาจะสังเกตได้ว่าในบรรดาบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ Apple อยู่ในสถานะที่เป็นต่อมากกว่ารายอื่นๆ แม้ว่านับตั้งแต่ต้นปีราคาหุ้นจะปรับตัวลดลงมาแล้วกว่า 16% แต่เมื่อเดือนที่แล้วหลังจากที่มีการรายงานผลประกอบการออกมาแล้วมีรายได้เพิ่มขึ้น โดยมียอดขาย Macbook ที่เติบโตแรงสุดกว่า 25% เมื่อเทียบจากปีก่อน ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอีก 7% อันเป็นผลจากความแข็งแกร่งดังกล่าว

นอกจากนี้ นักวิเคราะห์มองว่าจากความต้องการผลิตภัณฑ์ของ Apple ทั่วโลกที่ยังคงสูง รวมถึงในตลาดเกิดใหม่เองก็ตาม ท่ามกลางภาพรวมของสมาร์ทโฟน และ PC ทั่วโลกมีแนวโน้มลดลง ทำให้ Apple สามารถยืนอยู่ในจุดที่ดีกว่า Big Tech รายอื่นๆ

สำหรับการปรับตัวลดลงของหุ้นเทคโนโลยี นักวิเคราะห์ของ Wall Street กล่าวว่า เกิดจากปัจจัยหลายอย่าง โดยเแพาะอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงสุดในรอบ 40 ปี อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่า ซึ่งส่งผลกระทบต่อบริษัทข้ามชาติทั้งสิ้น เพราะเมื่อบริษัทต่างๆ เหล่านี้ได้มีการแปลงยอดขายต่างประเทศมาเป็นดอลลาร์สหรัฐแล้วจะมีรายได้ที่แสดงออกมาลดน้อยลง

ขณะที่ผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องของเฟด ซึ่งล่าสุดมีการปรับขึ้นอีก 0.75% มาสู่ระดับ 3.75-4.00% ทำให้ผู้บริโภคจะต้องแบกรับภาระจากค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นสำหรับดอกเบี้ยสินเชื่อต่างๆ

นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ มองอีกว่า อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วส่งผลให้นักลงทุนอาจจะต้องกลับมาทบทวนกันอีกครั้งว่า ที่ผ่านมาหุ้นที่เคยเฟื่องฟูในภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำ จะสามารถไปต่อได้หรือไม่ในภาวะแวดล้อมที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง จากความไม่แน่นอนตรงนี้ ถือเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนกล้าที่จะเสี่ยงน้อยลงในหุ้นเทคโนโลยี ที่มีแนวโน้มต้องแบกรับต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น

และไม่ใช่เพียงแค่บริษัทเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังกระทบไปยังภาคธุรกิจ ซึ่งองค์กรส่วนใหญ่มีการกู้ยืมเงินในการธุรกิจที่ต้องแบกรับภาระอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น รวมถึงค่าใช้จ่ายในภาคครัวเรือนด้วยเช่นกัน ซึ่งส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจหยุดชะงักและนำไปสู่ภาวะถดถอยในที่สุด

เหล่าบริษัทเทคโนโลยีต่างต้องเผชิญกับความยากในการเพิ่มยอดขาย เนื่องจากงบโฆษณาในภาคธุรกิจรวมถึงแหล่งรายได้อื่นๆ ชะลอตัวลง

Bowersock Hill หัวหน้าผู้บริหารของ Bowersock Capital Partners กล่าวว่า “รายได้ของบริษัทเทคโนโลยีขึ้นอยู่กับการโฆษณาในระดับหนึ่ง และนี่เป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความอ่อนแอในระบบเศรษฐกิจอย่างแท้จริง”

หลังจากเฟดประกาศขึ้นดอกเบี้ยรอบล่าสุด เมื่อวันที่ 3 พ.ย. ที่ผ่านมา ราคาหุ้นของ Microsoft ปิดตัวลดลง 3.54% ซึ่งมีความอ่อนไหวนับตั้งแต่มีการรายงานผลประกอบการ รายไตรมาสอ่อนแอที่สุดในรอบ 5 ปี รับผลกระทบจากต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น รวมถึงยอดขายซอฟต์แวร์ Windows ที่ลดต่ำลง อีกทั้งยอดขายในธุรกิจคลาวด์ก็ออกมาต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้เช่นกัน

Alphabet บริษัทแม่ของ Google ประกาศผลกำไรของบริษัทลดลง 27% จากปีก่อน รับผลกระทบจากงบโฆษณาและการตลาดขององค์กรต่างๆ ที่ลดน้อยลง โดยราคาหุ้นเมื่อวันพุธที่ผ่านมาปิดตัวลดลง 3.87%

ขณะที่หุ้น Meta ราคาหุ้นร่วงนำโด่งในบรรดา Big Tech อื่นๆ โดยลดสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2016 เมื่อสัปดาห์ก่อนหลังจากที่มีการรายงานผลประกอบการออกมา ทั้งรายได้ที่ลดลง และต้นทุนที่พุ่งสูงขึ้นจากการลงทุนใน Metaverse ทำให้หุ้นวูบกว่า 20% และในวันพุธที่ผ่านมาหลังการประกาศขึ้นดอกเบี้ยของเฟดก็ร่วงลงอีกกว่า 4.89%

ส่วนหุ้น Amazon เองก็ไม่อาจยืนอยู่ได้อย่างเเข็งเท่าไหร่นัก เพราะธุรกิจคลาวนือย่าง AWS มีอัตราการเติบโตช้าที่สุดนับตั้งแต่ปี 2014 ดังนั้นเมื่อวันพุธที่ผ่านมาราคาหุ้นจึงร่วงลงกว่า 4.82%
"จากความตกตกต่ำราคาหุ้นเทค ที่สะท้อนมาจากความจริงที่ว่า ผลประกอบการออกมาแย่กว่าที่คาด ถือเป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญ และเป็นสัญญาณชัดเจนว่าเศรษฐกิจกำลังชะลอตัว" Bowersock Hill กล่าว

อ้างอิง Time , TradingView


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ