ค่าเงินบาทวันนี้ 20 ต.ค. 65 อ่อนค่า นักวิเคราะห์คาดเคลื่อนไหว 38.25-38.55 บาทต่อดอลลาร์ หลังค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นตามทิศทางของบอนด์ยีลด์ที่ดีดตัวกลับมา
เมื่อวันที่ 20 ต.ค. 65 นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า ภาพตลาดที่กลับมากังวลแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟดอีกครั้ง จนอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง อาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้านสำคัญก่อนหน้าที่ระดับ 38.50 บาทต่อดอลลาร์ได้ไม่ยาก
โดยเฉพาะในช่วงนี้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ปรับตัวขึ้นทะลุระดับ 4.00% ต่อเนื่อง ก็อาจยิ่งกดดันให้บอนด์ยีลด์ระยะยาวของไทยเผชิญแรงเทขายจากบรรดานักลงทุนต่างชาติมากขึ้นได้เช่นกัน ซึ่งฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติที่ยังคงไหลออกจากตลาดบอนด์ก็เป็นอีกปัจจัยที่กดดันค่าเงินบาทในช่วงนี้ (ยอดขายบอนด์สุทธิกว่า 1 หมื่นล้านบาทนับตั้งแต่ช่วงต้นสัปดาห์)
นอกจากนี้ การปรับตัวลดลงของราคาทองคำ ก็อาจทำให้เงินบาทยังคงเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าจากโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวได้เช่นกัน ทั้งนี้ เรามองว่า แนวต้านสำคัญของเงินบาทอาจยังคงอยู่โซน 38.50 บาทต่อดอลลาร์
เนื่องจากระดับดังกล่าวอาจเห็นบรรดาผู้ส่งออกมาทยอยขายเงินดอลลาร์มากขึ้น ส่วนผู้เล่นในตลาดโดยเฉพาะผู้เล่นต่างชาติที่มีสถานะ short เงินบาทก็อาจทยอยขายทำกำไรสถานะ short เงินบาทในโซนดังกล่าวได้เช่นกัน
ทั้งนี้ ในช่วงที่ตลาดการเงินผันผวนสูงจากความไม่แน่นอนของหลายปัจจัย เราคงแนะนำให้ผู้ประกอบการควรใช้กลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ Options ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงได้ดีในช่วงที่ตลาดผันผวนหนัก โดยกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 38.25-38.45 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB Financial Markets ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 38.25-38.55 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยมีปัจจัยสำคัญดังนี้
- ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง จากการดีดตัวแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ
- ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นตามทิศทางของบอนด์ยีลด์ที่ดีดตัวกลับมา จากการปรับมุมมองของตลาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งละ 0.75% ในอีก 2 การประชุมที่เหลือของปีนี้
- ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และยุโรป ปิดลบจากความกังวลเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยที่ร้อนแรงของเหล่าธนาคารกลาง ถึงแม้ผลประกอบการบริษัทต่างๆ ที่ประกาศจะออกมาดีกว่าคาด