สมาคมนักวิเคราะห์ฟันธงเศรษฐกิจปี 65–66 ฟื้นตัว หนุน SET Index สิ้นปียังขึ้นที่ 1,685 เป้าดัชนีสูงสุดปีนี้อยู่ที่ 1,709 จุด ขณะที่ปัจจัยลบต่อหุ้นไทยจากนี้ถึงสิ้นปีคือเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและหลายๆประเทศเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอย ฯลฯ มั่นใจจีดีพีปีหน้าโต 3.86%
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนรวม 25 สำนัก เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนไตรมาส 4 ปี 2565 ว่า จากสมมติฐานหลักที่ใช้ในการประเมิน ได้มีการปรับลดราคาน้ำมันดิบปีนี้ลงจาก 102.36 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาที่ 98.79 เหรียญฯ ทำให้ต้องลดคาดการณ์การขยายตัวของอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของประเทศไทยปีที่ผ่านมา จากเดิมที่ 3.18% ลงเหลือที่ 3.09% ส่วนจีดีพีปีหน้ายังมองเป็นบวกที่ 3.86%
“ปัจจัยบวกที่มีผลต่อทิศทางการลงทุนจนถึงสิ้นปีนี้ ผู้ตอบแบบสำรวจ 96% เทคะแนนให้กับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ตามด้วยผลประกอบการ บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ปีนี้ และปีหน้าที่คาดว่าจะดีขึ้น ส่วนปัจจัยลบต่อตลาดทุนไทย นักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนทั้งหมด ยกให้เศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวและหลายๆประเทศมีโอกาสเกิดเศรษฐกิจถดถอย เป็นปัจจัยลบตามด้วยทิศทางการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ (FED) และความขัดแย้งทางการเมืองในต่างประเทศ การลดหรือยุติมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของประเทศสำคัญๆทั่วโลก”
ขณะที่นักวิเคราะห์ 56% คาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในไตรมาส 4 อีก 0.25% มีนักวิเคราะห์ 32% ที่มองว่าปรับขึ้น 0.50% มีเพียง 4% ที่มองว่าปรับขึ้น 1% หรือมากกว่า และมี 8% ที่มองว่าไม่มีการปรับในไตรมาส 4 ส่วนการปรับดอกเบี้ยนโยบายของ กนง.ปีหน้า นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ 36% ที่คาดว่าจะปรับขึ้น 0.50% ส่วนที่เหลือมี 24% ที่มองว่าปรับขึ้น 0.75% ขณะที่ผู้ตอบ 16% มองว่าจะปรับขึ้น 1.00% และมี 12% ที่มองว่าปรับขึ้น 0.25% ส่วนการคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปีนี้ของตลาดเฉลี่ยที่ 100.36 บาท เพิ่มขึ้นจากผลการสำรวจครั้งก่อนอยู่ที่ 94.47 บาทต่อหุ้นและคาดการณ์ EPS Growth ของปีนี้อยู่ที่ 13.51%
“เป้าหมาย SET Index หรือดัชนีตลาดสูงสุดจะอยู่ในช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค. เฉลี่ยที่ระดับ 1,709 จุด ส่วนจุดต่ำสุดอยู่ที่ 1,585 จุด และเป้าหมายดัชนี ณ วันสิ้นปีนี้ มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,685 จุด เพิ่มขึ้น 39 จุดจากการคาดการณ์ไว้ครั้งก่อน นักวิเคราะห์แนะนำให้กระจายพอร์ตการลงทุน เช่น เงินสดและเงินฝากระยะสั้น 19.57% กองทุนตราสารหนี้ 18.91% เป็นต้น”
ดังนั้น การลงทุนหุ้นไทย แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในธุรกิจค้าปลีก ธนาคาร การ ท่องเที่ยว ขณะที่ให้ลดน้ำหนักการลงทุนในหมวดปิโตรเคมี พลังงาน สาธารณูปโภค โดยรายชื่อหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำตรงกันตั้งแต่ 5 สำนักขึ้นไป เช่น 1.หุ้น ADVANC ได้ประโยชน์จากความต้องการใช้สื่อสารเพิ่มในช่วงเลือกตั้งหาเสียง ระยะกลางได้แรงหนุนจากการควบรวม 3BB, BJC 2.AOT มุมมองในระยะสั้น จากตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติ หลังไทยยกเลิกระบบ Thailand Pass จึงหนุนให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 1.4 ล้านคนเมื่อเดือน ส.ค. (45% เทียบกับช่วงก่อนเกิดโควิด-19) ส่งผลให้ผลประกอบการ 4Q64/65 (ก.ค.-ก.ย.65 ของ AOT มีผลขาดทุนลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า QoQ คาดว่ามีโอกาสกลับมาทำกำไรปกติใน 1-2 ไตรมาสข้างหน้า
“นักวิเคราะห์ยังได้แนะรัฐบาลใช้นโยบายที่เพิ่มกำลังซื้อแก่ประชาชน เพื่อกระตุ้นการบริโภค ได้แก่ ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอีก การลดภาษีบุคคลธรรมดา การช่วยเหลือภาคธุรกิจ ได้แก่ สนับสนุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ช่วยสภาพคล่องรักษาการจ้างงานของเอสเอ็มอี เป็นต้น”.