EIC คาดจบปี 65 อัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยจะอยู่ที่ 1.25% ต่อปี

Economics

Analysis

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

EIC คาดจบปี 65 อัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยจะอยู่ที่ 1.25% ต่อปี

Date Time: 30 ก.ย. 2565 14:00 น.

Video

ทางรอดเศรษฐกิจไทยในยุค AI ครองโลก | 1st Anniversary Thairath Money

Summary

  • EIC คาดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องสู่ 1.25% ในปี 65 และ 2% ในปี 66

Latest


EIC คาดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องสู่ 1.25% ในปี 65 และ 2% ในปี 66

หลังจาก คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 0.75% เป็น 1.00% ต่อปี โดยเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ตามแรงส่งของภาคท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังอยู่ในระดับสูงจากการส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา แม้แรงกดดันด้านอุปทานจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีแนวโน้มคลี่คลาย

โดยแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อยังใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ก่อนหน้า คณะกรรมการจึงเห็นว่าการทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังเป็นแนวทางการดำเนินนโยบายที่เหมาะสม และในกรณีที่แนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในระยะข้างหน้าเปลี่ยนไปจากที่ประเมินไว้ คณะกรรมการพร้อมจะปรับขนาดและเงื่อนเวลาของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้เหมาะสมต่อไป

ทั้งนี้ EIC ธนาคารไทยพาณิชย์ คาดว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะอยู่ที่ 1.25% ณ สิ้นปี 2565 และ 2% ณ สิ้นปี 2566 คาดว่า กนง. มีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่ให้กระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อในระยะต่อไป แม้จะมีแนวโน้มผ่อนคลายลงบ้างตามปัจจัยด้านอุปทาน เช่น ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่จะลดลงตามอุปสงค์โลกที่ชะลอลง ช่วยให้เงินเฟ้อทยอยปรับลดลงอย่างช้าๆ แต่จะยังสูงกว่ากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อในปีหน้า

เนื่องจากราคาพลังงานในประเทศและราคาอาหารที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงการส่งผ่านต้นทุนของผู้ผลิตไปยังราคาสินค้ากลุ่มอื่นที่จะมีมากขึ้น โดย EIC คาดว่า กนง. จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุมเดือนพ.ย. 2565 ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ณ สิ้นปีนี้จะอยู่ที่ 1.25% สำหรับในปี 2566

คาดว่า กนง. จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องอีก 3 ครั้ง ครั้งละ 0.25% และทรงตัวที่ระดับ 2% ณ สิ้นปี การทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไปจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ซึ่งคาดว่า จะกลับไปสู่ระดับก่อนเกิดโควิดได้ในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2566 อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยจะยังอยู่ต่ำกว่าระดับศักยภาพไปอีก 1-2 ปี จากแผลเป็นทางเศรษฐกิจที่ลึกและหนี้ที่สูงขึ้น

EIC มองว่า กนง. ไม่จำเป็นต้องเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเหมือนประเทศในกลุ่มเศรษฐกิจพัฒนาแล้ว เนื่องจากวัฏจักรเศรษฐกิจไทยเพิ่งเริ่มฟื้นตัว แรงกดดันด้านอุปสงค์ต่อเงินเฟ้อยังไม่มากเท่ากลุ่มประเทศที่เศรษฐกิจฟื้นตัวก่อนหน้าแล้ว ขณะเดียวกันเศรษฐกิจไทยยังมีรอยแผลเป็นจากสถานการณ์ โควิดที่ลึกกว่ากระทบหนี้ครัวเรือนไทยและรายได้ของภาคธุรกิจกลุ่มเปราะบาง เช่น ภาคบริการ และภาคอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ที่ยังมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ช้า

ด้วยเหตุนี้ แนวทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไปจะช่วยให้ครัวเรือนและธุรกิจกลุ่มเปราะบางสามารถปรับตัวได้ และลดความเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระหนี้ในระยะต่อไปที่มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ในช่วงโควิด เช่น การผ่อนเกณฑ์การจัดชั้นหนี้เสีย จะสิ้นสุดลง

นอกจากนี้ EIC มองว่า การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในขนาดที่มาก แม้จะช่วยลดแรงกดดันต่อการอ่อนค่าของเงินบาทได้บ้างในระยะสั้น แต่จะไม่สามารถทำให้เงินบาทกลับมาแข็งค่าสวนทิศทางเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ได้ การที่เงินบาทอ่อนค่าลงมากยังไม่ส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงินไทยอย่างมีนัย

โดยเสถียรภาพตลาดการเงินไทยยังอยู่ในเกณฑ์ดี (อาทิ เงินทุนเคลื่อนย้ายไม่ได้ไหลออกมาก ดัชนีตลาดหุ้นไทยไม่ได้ปรับลดลงมาก) การส่งผ่านผลกระทบค่าเงินบาทอ่อนสู่เงินเฟ้อไทยก็ยังมีจำกัด ดังนั้น การขึ้นดอกเบี้ยแรงเพื่อช่วยลดแรงกดดันการอ่อนค่าของเงินบาทจะไม่คุ้มกับความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

ค่าเงินบาทเผชิญแรงกดดันด้านอ่อนค่าอย่างมากในเดือนนี้ โดย EIC คาดว่า ในระยะ 1-2 เดือนข้างหน้า เงินบาทจะยังผันผวนในกรอบ 37.5-38.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

ทั้งนี้การอ่อนค่าของเงินบาทสอดคล้องกับสกุลเงินภูมิภาค ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นถึง 5% ในเดือนก.ย.เนื่องจาก

1. ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องตลอดปีนี้และปีหน้า โดยจากคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Medain dot plot) ของคณะกรรมการ FOMC ล่าสุดที่สะท้อนว่า Fed funds rate จะอยู่ที่ 4.4% ณ สิ้นปี 2022 และ 4.6% ณ สิ้นปี 2023 ตามลำดับ โดย Fed ได้สื่อสารชัดเจนถึงความมุ่งมั่นที่จะดูแลให้เงินเฟ้อกลับสู่กรอบเป้าหมายที่ 2% แม้จะส่งผลให้เศรษฐกิจและตลาดแรงงานชะลอตัวมากขึ้น

ส่งผลให้นักลงทุนปรับเพิ่มคาดการณ์ Terminal rate สู่ 4.6% (จากระดับก่อนประชุม FOMC ที่ 4.3%) ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลทั้งระยะสั้นและระยะยาวของสหรัฐฯ ปรับสูงขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบกว่าสิบปี ส่งผลให้ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับแข็งค่าขึ้นสู่ 114 (จากก่อนประชุม FOMC ที่ 110)

EIC คาดว่า Fed มีแนวโน้มปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 75 bps ในเดือนพฤศจิกายน และ 50 bps ในเดือนธ.ค.ส่งผลให้ Fed funds rate ณ สิ้นปีนี้อยู่ที่ 4.25-4.5% เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ยังสูงกว่ากรอบเป้าหมายของ Fed ที่ 2% อยู่มาก

โดยเฉพาะเงินเฟ้อพื้นฐานที่ยังเร่งตัวต่อเนื่องและกระจายไปในหลายหมวดสินค้าและบริการ ประกอบกับตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง สำหรับปี 2023 EIC คาดว่า Fed funds rate จะขึ้นไปสู่ระดับสูงสุด (Terminal rate) ที่ upper bound 4.75% ในไตรมาส 1 และ Fed มีแนวโน้มคงดอกเบี้ยระดับนี้ตลอดปี

2. เศรษฐกิจโลกเผชิญความเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยเพิ่มขึ้น (Global recession risk) ส่งผลให้ความต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ดอลลาร์สหรัฐมีมากขึ้น

3. ธนาคารกลางญี่ปุ่นยังคงนโยบายการเงินผ่อนคลายต่อเนื่อง และส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะยังไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะข้างหน้า ส่งผลให้เงินเยนปรับอ่อนค่าเทียบดอลลาร์สหรัฐ

4. ความกังวลต่อนโยบายการคลังของสหราชอาณาจักร ที่ประกาศ Tax cut plan เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอาจส่งผลให้เงินเฟ้อเร่งตัว และทำให้ Bank of England จำเป็นต้องใช้นโยบายการเงินตึงตัวขึ้นอีก นอกจากนี้ ยังจะส่งผลต่อความยั่งยืนทางการคลังในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยปรับสูงขึ้นเร็ว ส่งผลให้ค่าเงินปอนด์สเตอร์ลิงเทียบดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์

5. เศรษฐกิจยุโรปมีแนวโน้มอ่อนแอต่อเนื่อง จากราคาก๊าซธรรมชาติที่สูงขึ้น ปัญหาหนี้สูง รวมถึงการเมืองในอิตาลี ซึ่งกดดันให้ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของเยอรมนีและอิตาลีเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้เกิดความกังวลต่อปัญหา Fragmentation ในภูมิภาค กดดันให้เงินยูโรเทียบดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง

อย่างไรก็ดี EIC คาดว่า เงินบาทมีแนวโน้มปรับแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 36-37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงปลายปีนี้ และจะแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องสู่ 34-35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี 2023 จากปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยที่แนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ดังนี้

1. เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องท่ามกลางการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก จากแรงส่งของภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน ประกอบกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่จะปรับเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป

2. ดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มกลับมาเกินดุลได้ในช่วงปลายปีนี้ ตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์และต้นทุนค่าขนส่งที่เริ่มลดลง รวมถึงการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติและการท่องเที่ยวไทย

3. เงินทุนเคลื่อนย้ายมีแนวโน้มไหลกลับเข้าตลาดการเงินไทย ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย โดย Valuation ของหุ้นไทยยังน่าดึงดูด และนักลงทุนต่างชาติยังถือครองหุ้นไทยต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต (ปัจจุบัน 22% ต่ำกว่าช่วงสิบปีที่ผ่านมาที่ 30%)


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ