ภาษีลาภลอย กลับมาพูดถึงกันอีกครั้ง หลังนายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง ได้มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง หรือ สศค. ไปดูรายละเอียดเกี่ยวกับกฎหมายดังกล่าวอีกครั้ง หลังกระทรวงการคลังได้เคยเสนอไปเมื่อก่อนหน้านี้ตอนปี 2561 แต่ก็ถูกตีตกไป หลายคนอาจจะสงสัยว่า "ภาษีลาภลอย" คืออะไร แล้วใครต้องเสียภาษี และใช่ความหมายเดียวกับการเก็บภาษีคนรวยหรือไม่ โดยรายละเอียดมีดังนี้
ภาษีลาภลอย กฎหมายภาษีลาภลอย หรือ ร่าง พ.ร.บ.ภาษีการได้รับประโยชน์จากการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของรัฐ (Windfall Tax) คือ การจัดเก็บภาษีจากผู้ที่ได้รับประโยชน์จากโครงการลงทุนสาธารณูปโภคของรัฐ
เช่น รถไฟฟ้า สนามบิน ถนน ฯลฯ ทำให้ที่ดินในบริเวณใกล้เคียงโครงการมีราคาสูงขึ้นมากเป็นพิเศษ เจ้าของที่ดินเหล่านั้นร่ำรวยมั่งคั่งขึ้น โดยไม่ได้ลงทุนเอง เป็น ลาภลอย ที่ได้มาเปล่าๆ จึงเรียกภาษีชนิดนี้ว่า ภาษีลาภลอย) ซึ่งภาษีรูปแบบนี้ไม่ใช่ของใหม่ เพราะในหลายๆ ประเทศทั่วโลกใช้กัน โดยเฉพาะกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (อ้างอิงจากไทยรัฐพลัส)
โดยโครงการพัฒนาของรัฐที่อยู่ในข่ายต้องจัดเก็บภาษี พื้นที่จัดเก็บภาษีกำหนดขอบเขตไว้ หรือ รัศมีรอบโครงการโดยประมาณ
1. รถไฟความเร็วสูง รถไฟรางคู่ รถไฟฟ้าขนส่งมวลชน พื้นที่ในรัศมี 2.5 กิโลเมตร รอบสถานี
2. ท่าเรือ พื้นที่ในรัศมี 5 กิโลเมตร จากแนวเขตที่ดินของท่าเรือ
3. โครงการทางด่วนพิเศษ พื้นที่ในรัศมี 2.5 กิโลเมตร รอบทางขึ้นและทางลง
4. สนามบิน พื้นที่ในรัศมี 5 กิโลเมตร จากแนวเขตห้ามก่อสร้างของสนามบิน
ใครบ้างต้องจ่ายภาษีลาภลอย
- ที่ดิน ห้องชุด ที่ใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ที่มีมูลค่ามากกว่า 50 ล้านบาท
ใครบ้างที่ได้รับการยกเว้นเก็บภาษีลาภลอย
- ที่อยู่อาศัย
- เกษตรกรรม
- มรดกตกทอดจะไม่มีการเก็บภาษี
การจัดเก็บภาษีลาภลอย
1. ในระหว่างการดำเนินการจัดทำโครงการฯ จะจัดเก็บภาษีทุกครั้งที่มีการขาย หรือโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินหรือห้องชุด ซึ่งตั้งอยู่รอบพื้นที่โครงการในรัศมีที่กำหนด
2. เมื่อการก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จจะจัดเก็บภาษีเพียงครั้งเดียวจากที่ดิน หรือห้องชุด เฉพาะส่วนที่ใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ที่มีมูลค่าสูงกว่า 50 ล้านบาท และห้องชุดของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่รอจำหน่าย
ทั้งนี้ คงต้องติดตามดูต่อว่าความคืบหน้าของ ร่าง พ.ร.บ.ภาษีการได้รับประโยชน์จากการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของรัฐนี้จะประกาศใช้ได้เมื่อไหร่ และจะส่งผลดีต่อประเทศไทยอย่างไรบ้างในอนาคต.