เอกชนท่องเที่ยวชงรัฐบาลคลอดยุทธศาสตร์ทุบหม้อข้าว ให้ท่องเที่ยวกลับสู่ปกติเร็วที่สุด รวม 4 ประเด็น ขอยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า 1,000–2,000 บาท ตั้งแต่ 1 ก.ค.-31 ธ.ค.2565 และขยายระยะเวลาวีซ่าอยู่ในไทยได้นานขึ้นเป็น 45 วัน ออกวีซ่าแบบเข้า–ออกได้หลายครั้ง ขอยกเลิกไทยแลนด์พาส ยกเลิกวัดอุณหภูมิและเลิกบังคับสวมหน้ากากอนามัย และสนับสนุนเศรษฐกิจภาคกลางคืนให้เปิดได้ถึงเวลา 01.00 น.
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยว แห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ททท.ได้หารือสมาคมต่างๆในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดยมีเอกชนเข้าร่วมกว่า 100 คน เพื่อฟื้นธุรกิจท่องเที่ยวกลับมาเต็มรูปแบบให้เร็วที่สุด ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการให้ทุกธุรกิจกลับมาปกติเร็วที่สุด โดยภาคเอกชนมีข้อเสนอ 4 ประเด็น ซึ่งในสัปดาห์หน้าจะต้องนำเสนอผ่านอีก 3 ด่าน ได้แก่ ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านการท่องเที่ยวและกีฬา (ศปก.กก.) กระทรวงสาธารณสุข และศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) เพื่อกลั่นกรองให้ได้ข้อสรุปสุดท้าย ก่อนเข้าสู่การประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน วันที่ 17 มิ.ย.นี้ เพื่อขอให้พิจารณานำข้อเสนอมาบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.นี้เป็นต้นไป
ข้อเสนอภาคเอกชน ประกอบด้วย 1.ขอยกเลิกระบบไทยแลนด์ พาสสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ แต่ยังให้ความสำคัญในการตรวจสอบการได้รับวัคซีน และการมีประกันสุขภาพ โดยหาวิธีตรวจสอบแบบอื่น เช่น ให้สายการบินจากประเทศต้นทางตรวจสอบให้ เริ่มดำเนินการวันที่ 1 ก.ค.นี้ โดยข้อเสนอเรื่องนี้ภาคเอกชนระบุว่าแม้ในปัจจุบันการลงทะเบียนในระบบไทยแลนด์พาส ได้ลดความยุ่งยากลงและระบบตอบรับรวดเร็วขึ้นแล้ว แต่ไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่ไม่ได้วางแผนการเดินทางล่วงหน้าเหมือนในอดีต และใช้เวลาตัดสินใจออกเดินทางสั้นลง และต้องการทำให้ทุกอย่างกลับไปเหมือนช่วงปกติ
2.ขอยกเลิกการตรวจวัดอุณหภูมิและยกเลิกการบังคับสวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ โดยแนะนำให้ใส่หน้ากากอนามัยในสถานที่แออัดและในอาคาร เนื่องจากในหลายประเทศได้ยกเลิกแล้ว โดยเฉพาะประเทศในภูมิภาคยุโรป โดยประสบการณ์ที่ผ่านมาพบว่าการวัดอุณหภูมิไม่ได้บ่งบอกว่าเป็นผู้ติดเชื้อโควิด-19 หรือไม่ เพราะผู้ติดเชื้อจำนวนมากที่รับรู้กันเป็นการติดเชื้อแบบไม่แสดงอาการ ส่วนการสวมหน้ากากอนามัยในสถานประกอบการต่างๆ อย่างเช่นในโรงแรม หรือร้านอาหาร จะให้พนักงานยังใส่หน้ากากอนามัยอยู่หรือไม่ก็ให้เป็นไปตามนโยบายของแต่ละบริษัทตัดสินใจกันเอง
3.เสนอขยายเวลาการเปิดให้บริการของ เศรษฐกิจภาคกลางคืน เช่น สถานบันเทิง ผับ บาร์ ให้เป็นไปตามกฎหมายเดิม ถึงเวลา 01.00 น. จากปัจจุบันให้เปิดได้ถึงเวลา 24.00 น. เพื่อให้เศรษฐกิจภาคกลางคืนกลับมาสร้างรายได้เช่นในภาวะปกติ หลังบอบช้ำมามากแล้ว
4.เสนอยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าทุกชนิด ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.-31 ธ.ค.2565 ทั้งวีซ่านักท่องเที่ยว (Tourist Visa) ที่มีค่าธรรมเนียม 1,000 บาทต่อคน และวีซ่าหน้าด่าน (Visa on Arrival) ที่มีค่าธรรมเนียม 2,000 บาทต่อคน เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลที่ประกาศปีส่งเสริมท่องเที่ยวไทย 2565-2566 และเสนอขยายระยะเวลาพำนักระหว่างท่องเที่ยวในไทยเป็นสูงสุด 45 วัน เพื่อให้นักท่องเที่ยวอยู่ในประเทศไทยได้นานขึ้น
โดยปัจจุบันพบว่าการใช้รายจ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติต่อคนต่อทริป เพิ่มสูงขึ้นเป็นคนละ 77,000 บาท จากในปี 2562 ก่อนเกิดโควิด-19 อยู่ที่คนละกว่า 50,000 บาท โดยการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเกิดขึ้นจากการพักอยู่ในไทยนานวันมากขึ้น ทั้งนี้ ปกติวีซ่านักท่องเที่ยวพักในไทย 30 วัน และวีซ่าหน้าด่าน พักได้ 15 วัน โดยขอให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.-31 ธ.ค.2565 โดยภาคเอกชนเสนอว่าทุกครั้งที่มีมาตรการทางด้านวีซ่า จะส่งผลต่อการเดินทางเพิ่มของนักท่องเที่ยวอย่างชัดเจน และเสนอด้วยว่าขอให้วีซ่าที่ออกให้นักท่องเที่ยวในช่วงเวลานี้เป็นมัลติเพิล วีซ่า หรือวีซ่าแบบเข้า-ออกได้หลายครั้ง เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางท่องเที่ยวในภูมิภาคนี้ โดยนักท่องเที่ยวมาไทยแล้วสามารถเดินทางข้ามไปเที่ยวประเทศเพื่อนบ้านและกลับมาไทยได้อีก
“ข้อเสนอเหล่านี้เปรียบเสมือนยุทธศาสตร์ทุบหม้อข้าว เพื่อแข่งขันกับประเทศคู่แข่งในการช่วงชิงนักท่องเที่ยวต่างชาติและนำรายได้เข้ามาฟื้นเศรษฐกิจประเทศ เป็นข้อเสนอเพื่อจบเกมและกลับมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศให้เร็วที่สุด และจะทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยได้เกินกว่าเป้าที่ตั้งไว้ในปีนี้ที่ 7-10 ล้านคนด้วย”.