คนไทยกำลังเดือดร้อนสาหัสกันทั้งประเทศจากราคาพลังงานที่แพงขึ้นต่อเนื่อง ผลจากการบริหารกองทุนน้ำมันที่ผิดพลาดของรัฐบาลชุดนี้ มีความเป็นไปได้ที่ กองทุนน้ำมันจะถังแตก เพราะ คุณกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ไม่มีแบงก์ไหนยอมให้กู้ เนื่องจากรัฐบาลปี 2562 เปลี่ยนกองทุนน้ำมันเป็น “นิติบุคคล” ทำให้รัฐบาลไม่สามารถค้ำประกันเงินกู้ของกองทุนน้ำมัน ปัจจุบันกองทุนน้ำมันติดลบกว่า 81,000 ล้านบาท แต่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังพุ่งขึ้นต่อเนื่อง บ่าย 3 วันที่ 31 พ.ค. น้ำมันดิบสหรัฐฯพุ่งขึ้นไปบาร์เรลละ 118 เหรียญ น้ำมันดิบเบรนท์พุ่งขึ้นไปบาร์เรลละ 123 เหรียญ
ราคาสินค้าทยอยปรับขึ้นราคาไปเรียบร้อย ค่าขนส่งสินค้าก็ปรับขึ้นไปเป็น 15% แล้ว
คุณญนน์ โภคทรัพย์ ประธานสมาคมค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า เวลานี้ไทยกำลังเผชิญกับ “พายุเศรษฐกิจ 5 สูง” ประกอบด้วย เงินเฟ้อสูง หนี้ครัวเรือนสูง ราคาพลังงานสูง ต้นทุนสินค้าสูง และ ราคาสินค้าสูง แม้ไทยจะยังไม่เกิด “ภาวะเศรษฐกิจถดถอย” หรือ Stagflation แต่ก็มีความเสี่ยงอยู่ หากเราไม่เร่งเดินหน้าผลักดันให้เศรษฐกิจโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจนำไปสู่ Stagflation ได้ในที่สุด เพราะเศรษฐกิจไทยยังมีความเปราะบาง ช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีการส่งออกเป็นพระเอก แต่ตอนนี้การส่งออกจะโตได้ไม่มาก ถูกจำกัดจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก สงครามรัสเซีย–ยูเครน และราคาน้ำมันโลกที่พุ่งสูงขึ้น
ความเห็นของ คุณญนน์ สอดคล้องกับความเห็นของ คุณกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ ที่ออกมาเตือนว่า มรสุมเศรษฐกิจกำลังก่อตัว Perfect Storm กำลังมา
ดร.กอบศักดิ์ บอกว่า Perfect Storm (มหาพายุที่สมบูรณ์แบบ) ลูกนี้กำลังก่อตัวขึ้นใน 3 ทวีป เริ่มจาก (1) ทวีปยุโรป จาก สงครามรัสเซีย–ยูเครน ซึ่งจะนำไปสู่ วิกฤติการณ์เผชิญหน้าระหว่างมหาอำนาจ (Geopolitical Crisis) วิกฤติราคาพลังงาน และ วิกฤติอาหารโลก ที่กระทบคนนับร้อยล้านคน อาจนำไปสู่การประท้วงวิกฤติเชิงสังคมและการเมืองในประเทศไทยต่างๆ
(2) ทวีปอเมริกา จากความผิดพลาดของ ธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ประเมินผลกระทบจากโควิดผิด ใส่ยากระตุ้นเศรษฐกิจเข้าไปมากกว่าที่ควร ทั้งเรื่องดอกเบี้ยและสภาพคล่อง ส่งผลให้เกิดวิกฤติความผันผวนในตลาดการเงินโลก การขึ้นดอกเบี้ยของเฟดเพื่อปราบเงินเฟ้อให้อยู่หมัด อาจมีโอกาสเกิด ภาวะเศรษฐกิจถดถอย Recession ขึ้นในสหรัฐฯและประเทศต่างๆมากขึ้น และนำไปสู่ วิกฤติในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ Emerging Market Crisis ขณะนี้เราเริ่มเห็นประเทศเล็กๆที่อ่อนแอ เช่น ศรีลังกา ปากีสถาน กำลังวิกฤติ ทั้งที่เฟดเพิ่งขึ้นดอกเบี้ยไปเพียง 2 ครั้ง และใครจะเป็นรายต่อไป
(3) ทวีปเอเชีย จีน ซึ่งปกติจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจโลก มีความเปราะบางจากฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ ทำให้เศรษฐกิจจีนชะลอตัวลงมาก กระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก สหรัฐฯ และของทุกคน ในช่วงที่ทุกคนอ่อนแอ มีโอกาสลุกลามกลายเป็นวิกฤติเต็มรูปแบบในจีนได้ เราจะรับมือกับ Perfect Storm ลูกนี้ได้อย่างไร
สำหรับประเทศไทย คุณญนน์ ได้เสนอทางออกว่า ต่อจากนี้ไปภาคค้าปลีกและบริการจะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เป็นเครื่องจักรสำคัญที่จะทำให้ภาคการท่องเที่ยวโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ภาค การท่องเที่ยวมี SMEs ของการค้าปลีกและบริการอยู่มากถึง 2.4 ล้านราย คิดเป็น 80% ของเอสเอ็มอีทั้งประเทศกว่า 3 ล้านราย มีการจ้างงานในระบบกว่า 13 ล้านราย คิดเป็น 30% ของการจ้างงานทั้งประเทศมีมูลค่าเศรษฐกิจโดยรวมกว่า 5.6 ล้านล้านบาท คิดเป็น 34% ของจีดีพี ถ้ารัฐทำให้เอสเอ็มอีกลุ่มนี้แข็งแรง เชื่อมต่อกับธุรกิจขนาดใหญ่ได้ เข้าถึงแหล่งเงินทุน เศรษฐกิจไทยจะฟื้นกลับมาเดินหน้าได้เต็มกำลังอีกครั้ง
ผมฟังแล้วขนลุกเลย ห่วงก็แต่นายกฯที่ฉลาดของเราจะฟังรู้เรื่องไหม.
“ลม เปลี่ยนทิศ”