ปี 2022 ได้เวลาหุ้นไทย หุ้นเวียดนาม หุ้นสหรัฐฯ หุ้นยุโรปก็โดดเด่น

Economics

Analysis

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

ปี 2022 ได้เวลาหุ้นไทย หุ้นเวียดนาม หุ้นสหรัฐฯ หุ้นยุโรปก็โดดเด่น

Date Time: 10 ก.พ. 2565 14:27 น.

Video

“ไทยรัฐ โลจิสติคส์” ถอดคราบ “ยักษ์เขียว” มุ่งสู่ขนส่งครบวงจร | Thairath Money Talk

Summary

  • เทรนด์การลงทุนปี 2022 คาดครึ่งปีแรกผันผวนจากแรงกดดันของอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่พุ่งสูงสุดในรอบ 40 ปี แนะลงทุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ และยุโรป เน้นกลุ่ม Defensive และ Quality ที่ให้ผล

Latest


บลจ.พรินซิเพิล มองเทรนด์การลงทุนปี 2022 คาดครึ่งปีแรกผันผวนจากแรงกดดันของอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่พุ่งสูงสุดในรอบ 40 ปี แนะลงทุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ และยุโรป เน้นกลุ่ม Defensive และ Quality ที่ให้ผลตอบแทนดีในภาวะผันผวน มองตลาดหุ้นไทยและเวียดนามยังไม่แพง จะได้แรงหนุนจากอัตราเติบโตเศรษฐกิจ

เมื่อวันที่ 10 ก.พ. 65 นายศุภกร ตุลยธัญ, CFA ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) พรินซิเพิล จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมการลงทุนปี 2022 จะเผชิญกับความผันผวนในช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐอเมริกาพุ่งสูงสุดในรอบ 40 ปี และคาดการณ์ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ FED เตรียมปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ 4 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในเดือน มี.ค. มิ.ย. ก.ย. และ ธ.ค.

อย่างไรก็ตาม มองว่าอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ จะอยู่ในระดับสูง ต่อเนื่องจนถึงช่วงกลางปีนี้ ก่อนจะเริ่มลดลงในครึ่งปีหลัง และหลังจากปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งในเดือน มี.ค. และ มิ.ย. นี้แล้ว คาดว่าในเดือน ก.ค. นี้ FED จะเริ่มใช้มาตรการ QT หรือ Quantitative Tightening หรือการปรับลดขนาดงบดุล จึงไม่น่าจะเห็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่า 4 ครั้งต่อปี ส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนช่วงครึ่งปีหลังมีความผันผวนลดลง

ส่วนเงินดอลลาร์สหรัฐ คาดว่าจะแข็งค่าต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ กระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นเวียดนามในปัจจุบันถือว่ายังไม่แพง โดยน่าจะได้รับปัจจัยบวกจากอัตราเติบโตของ GDP ที่เร่งตัวจากปีก่อน

จากปัจจัยดังกล่าวแนะนำให้ลงทุนในตลาดหุ้นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ได้แก่ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และยุโรป เลี่ยงการลงทุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและหุ้นขนาดเล็ก (Small Cap) เนื่องจากสถิติในอดีตพบว่าเมื่อตลาดพันธบัตรผันผวน ตลาดหุ้น Nasdaq ซึ่งเป็นตัวแทนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และ Russell 2000 ซึ่งเป็นหุ้นกลุ่ม Small Cap มีความผันผวนค่อนข้างสูง ส่วนการลงทุนตลาดตราสารหนี้แนะนำให้ลดอายุเฉลี่ยตราสารหนี้ในพอร์ตเพื่อป้องกันความเสี่ยง

ทั้งนี้จากการศึกษาข้อมูลสินทรัพย์ต่างๆ นับจากปี 1976 ในภาวะที่อัตราเงินเฟ้อสูง ดอกเบี้ยเป็นขาขึ้นและเศรษฐกิจเริ่มเติบโตช้าลง พบว่าดัชนี S&P 500 แม้ให้อัตราผลตอบแทนลดลงแต่ยังเป็นบวกและสูงกว่าผลตอบแทนของดัชนี Dow Jones เล็กน้อย ส่วนหุ้นประเทศอื่นๆ นอกจากสหรัฐฯ ให้อัตราผลตอบแทนติดลบ นอกจากนี้พบว่าในช่วงที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจในอดีต หุ้นกลุ่ม Defensive และหุ้นกลุ่ม Quality ส่วนใหญ่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่ากลุ่มอื่น

นายชาตรี มีชัยเจริญยิ่ง หัวหน้าการลงทุนฝ่ายตราสารทุน บลจ.พรินซิเพิล กล่าวว่า เราคาดการณ์ปี 2565 GDP ของเวียดนามจะเติบโตสูงถึง 7.2% ฟื้นตัวจากปี 2564 ที่อัตราเติบโต 2.58% ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์เนื่องจากผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์

ปัจจุบันเวียดนามได้เร่งฉีดวัคซีนแล้วกว่า 76% ของประชากรทั้งหมด อีกทั้งยังมีปัจจัยหนุนจากการบริโภคภายในประเทศที่ฟื้นตัว และงบประมาณพิเศษของภาครัฐคิดเป็น 4.2% ของ GDP เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงสนับสนุนธุรกิจต่างๆ ที่ได้รับกระทบจากโควิด-19

ทั้งนี้ สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ของประเทศเวียดนามอยู่ที่ 44% ต่ำกว่าเพดานที่กำหนดไว้ 60% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 3% โดยที่แนวโน้มอัตราอัตราดอกเบี้ยปีนี้คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นเพียง 0.2% ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เนื่องจากรัฐบาลต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ นอกจากนี้ตลาดหุ้นเวียดนามถือว่ายังไม่แพง โดยมีค่า P/E Ratio ที่ 14.8 เท่า และประเมินว่ากำไรต่อหุ้น หรือ EPS Growth ในปีนี้จะเติบโต 25 - 30% คาดว่ากลุ่มธนาคารจะเป็น sector ที่โดดเด่นในช่วงไตรมาสแรก เพราะสะท้อนปัจจัยลบไปหมดแล้ว

นายวรุณ ทรัพย์ทวีกุล ผู้จัดการกองทุน ฝ่ายการลงทุนต่างประเทศ บลจ. พรินซิเพิล กล่าวว่า พรินซิเพิลมองว่าธีมการลงทุนแห่งอนาคตที่โดดเด่น ประกอบด้วย 5 ธีมหลัก ได้แก่ 1. Automation & Robotic เนื่องจากการขาดแคลนของประชากรวัยแรงงานและค่าแรงที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีการนำหุ่นยนต์มาใช้ทดแทน และจะมีบทบาทอย่างมากในการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4

2. Healthcare Innovation เนื่องจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ประชากรมีอายุขัยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น และการพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ ทำให้การใช้จ่ายด้านสุขภาพมีแนวโน้มสูงขึ้น 3. Millennial Consumer คือกลุ่มคนที่ในปี 1980-2000 จะมีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจ โดยมีไลฟ์สไตล์ใช้เงินซื้อประสบการณ์ และเป็นกลุ่มสำคัญที่ขับเคลื่อนการบริโภคของโลก

4. Electric Vehicles หรือยานยนต์ไฟฟ้า เนื่องจากต้นทุนการผลิต EV ที่มีแนวโน้มลดลงในระดับเดียวกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงจากสนับสนุนของภาครัฐ 5. Metaverse ประกอบด้วยอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น Hardware, Computing, Networking และ Payment Services เป็นต้น โดยมีโอกาสโตจากมูลค่าตลาด 400 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2563 เป็น 800 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2567


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ