รัฐบาลถือฤกษ์ดี 1 พ.ย.2564 เป็นวันเปิดประเทศ ต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 45 ประเทศ และฮ่องกง ให้เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยไม่ต้องกักตัว ปรับมาตรการพื้นที่เฝ้าระวังและพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยว เปิดร้านอาหารให้นั่งทาน นั่งดื่มได้
นับเป็นข่าวดีที่ช่วยสร้างบรรยากาศ สร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ให้กลับมาคึกคักอีกรอบ หลังจากหงอยเหงาไปนานหลายเดือน นับตั้งแต่เดือน เม.ย.ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี แม้รัฐบาลจะเปิดประเทศ เพื่อรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ แต่ในภาวะการแพร่ระบาดโควิด-19 เช่นนี้ การจะเดินทางมาท่องเที่ยวของต่างชาติ อาจมีข้อจำกัดหลายอย่าง จำนวนนักท่องเที่ยวไม่ได้เพิ่มพรวดๆ เหมือนเช่นเดิม ก่อนเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 แต่จะเพิ่มแบบค่อยเป็นค่อยไป
ดังนั้นจึงได้เพิ่มการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศเพื่อให้ประชาชนออกมาจับจ่ายใช้สอย ช่วยปลุกเศรษฐกิจปลายปี
โดยรัฐบาลคาดหวังว่า เมื่อเปิดประเทศในช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค.นี้ จะมีเม็ดเงินสะพัดหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากกว่า 100,000-300,000 ล้านบาท ทั้งจากการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ คนไทยเดินทางข้ามจังหวัดเพื่อท่องเที่ยวได้ ก็จะเกิดเม็ดเงินหมุนเวียนไปในหลายๆจังหวัด รวมถึงใกล้ช่วงเทศกาลปีใหม่ ประชาชนก็จะออกมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นด้วย
ด้วยการเพิ่มวงเงินให้ผู้ได้รับสิทธิ์โครงการคนละครึ่งเฟส 3 อีกคนละ 1,500 บาท เพิ่มวงเงินให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และกลุ่มเปราะบางอีกคนละ 300 บาท และโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยภาย ในประเทศ บรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชน และช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ร้านค้ารายย่อย จะเป็นการสนับสนุนเศรษฐกิจฐานรากและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ
สำหรับโครงการคนละครึ่ง แรกเริ่มเมื่อปลายปี 2563 กระแสตอบรับดีมาก เฟสแรกเปิดลงทะเบียน 10 ล้านสิทธิ เพื่อรับสิทธิ 3,000 บาท เมื่อได้รับความนิยมมีกระแสเรียกร้องให้เปิดเพิ่ม กระทรวงการคลังได้เปิดเฟส 2 รอบเก็บตกอีก 5 ล้านสิทธิ เพิ่มวงเงินเป็น 3,500 บาท และเติมเงินให้ผู้ได้รับสิทธิในเฟสแรกอีก 500 บาท สิริรวมได้เงินคนละ 3,500 บาท มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากกว่า 100,000 ล้านบาท
รัฐบาลเห็นว่า “โครงการคนละครึ่ง” แก้ปัญหาตรงจุด รัฐบาล จึงได้เปิดลงทะเบียนคนละครึ่ง เฟส 3 อีก 28 ล้านสิทธิ จากเดิมวงเงินคนละ 3,000 บาท แต่ต่อมาเมื่อรัฐบาลต้องการเปิดประเทศจึงเติมเงินให้อีกคนละ 1,500 บาท เบ็ดเสร็จคนละครึ่งเฟส 3 ผู้ได้รับสิทธิจะได้รับเงินคนละ 4,500 บาท สามารถใช้จ่ายได้จนถึง 31 ธ.ค.64 นี้
เบ็ดเสร็จคนละครึ่งเฟส 3 จะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 252,000 ล้านบาท
“โครงการคนละครึ่งกระแสตอบรับดีมากจากประชาชน ช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ ช่วยบรรเทาค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิต แม้ไม่มากมาย แต่ก็ช่วยแบ่งเบา ซื้อข้าวราดแกง 1 มื้อ ก็จ่ายครึ่งหนึ่ง ซื้อส้มตำไก่ยาง ก็จ่ายครึ่งหนึ่ง และยังช่วยเสริมสภาพคล่องให้ร้านค้ารายย่อย เพราะขณะนี้มีร้านค้าเข้าร่วมโครงการมากกว่า 1.3 ล้านรายแล้ว ถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากอย่างแท้จริง กระตุ้นการบริโภคภายในประเทศให้กลับมาคึกคัก และเชื่อว่าจะส่งผลดีต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจของประเทศในปีนี้และปีหน้า” นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลังกล่าว
นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มวงเงินให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (บัตรคนจน) อีกคนละ 300 บาท รวม 13.54 ล้านคน และเพิ่มวงเงินให้ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือหรือกลุ่มเปราะบางอีกคนละ 300 บาท จำนวน 1.21 ล้านคน รวม 14.75 ล้านคน ซึ่งผู้ถือบัตรฯสามารถนำเงินที่ได้ไปซื้อสินค้าจากร้านธงฟ้าราคาประหยัด และร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการร้านค้าประชารัฐ เมื่อนำไปรวมกับวงเงินที่รัฐช่วยเหลือก่อนหน้านี้ ก็จะทำให้ผู้ถือบัตรฯมีเงินจับจ่ายใช้สอยคนละ 500 บาทต่อคนต่อเดือนในช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค.นี้
ส่วนโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ รัฐเพิ่มวงเงินให้อีก 3,000 ล้านบาท โดยปรับเพิ่มหลักเกณฑ์การคำนวณการให้สิทธิสนับสนุน e-Voucher และเพิ่มวงเงินสนับสนุน e-Voucher จากเดิมไม่เกิน 7,000 บาท เป็น 10,000 บาทต่อคน ในเดือน พ.ย.-ธ.ค.2564 พร้อมให้เพิ่มยอดใช้จ่ายสูงสุดจาก 60,000 บาทเป็น 80,000 บาท ต่อคน ขณะนี้ผู้เข้าร่วมโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้แล้วกว่า 500,000 สิทธิ ซึ่งกระทรวงการคลังจะเปิดรับสมัครไปจนกว่าจะครบ 1 ล้านสิทธิ
เพราะฉะนั้น มาตรการต่างๆที่รัฐได้ออกมาครั้งนี้ จะช่วยลดภาระค่าครองชีพให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อย และช่วยรักษากำลังซื้อในระบบเศรษฐกิจฐานราก เติมเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากกว่า 300,000 ล้านบาท ครบคลุมประชากรกว่า 40 ล้านคน จะทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจหลายรอบในช่วง พ.ย.-ธ.ค.นี้
ทั้งยังจะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อเนื่องไปยังปี 2565 ด้วย!!!
ดวงพร อุดมทิพย์