“เศรษฐา” วิเคราะห์เศรษฐกิจหลังโควิด ฟื้นตัวแบบ K Shape รวยยิ่งรวย จนยิ่งจน

Economics

Analysis

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

“เศรษฐา” วิเคราะห์เศรษฐกิจหลังโควิด ฟื้นตัวแบบ K Shape รวยยิ่งรวย จนยิ่งจน

Date Time: 30 ส.ค. 2564 05:10 น.

Summary

  • เศรษฐา ทวีสิน นักธุรกิจแถวหน้าจากตระกูลเก่าแก่ที่เป็นรากเหง้าของสังคมไทย ออกมา Call out ถึงรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลายครั้งในฐานะ CEO ของ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)

Latest

Credit Scoring กับการเติบโตของเศรษฐกิจ

เศรษฐา ทวีสิน นักธุรกิจแถวหน้าจากตระกูลเก่าแก่ที่เป็นรากเหง้าของสังคมไทย ออกมา Call out ถึงรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลายครั้งในฐานะ CEO ของ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบไม่แพ้ภาคธุรกิจในสาขาอื่นๆของประเทศ

จากคำสั่งปิดกิจการหลายแห่งภายใต้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด และการปิดประเทศห้ามผู้คนเดินทางไปมาหาสู่กัน

แต่การ Call out เพื่อส่งสัญญาณให้รัฐบาลรับรู้ถึงวิกฤติของสถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจ และสังคมว่า กำลังดำดิ่งสู่ห้วงเหวลึก จำเป็นต้องใช้โมเดลในการแก้ไขปัญหานี้อย่างเร่งด่วนเพียงใดนั้น

กลับส่งผลให้เขากลายเป็นเป้านิ่งในตำบลกระสุนตกของการต่อสู้กันของระบบการเมืองไทยทั้งในเวที และนอกเวที กระทั่งถูกปั่นให้เป็นกระแสว่า เขาจะเป็นผู้ชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของประเทศไทยคนต่อไป!

เศรษฐา บอกกับ ทีมเศรษฐกิจว่า เขาไม่ได้ต้องการให้ตนเอง Popular ไม่ได้ต้องการจะเข้าไปเล่นการเมือง หรือขายสมบัติที่มีเพื่อจะไปใส่แว่นตาหนาๆอ่านข้อความยาวๆ บนกระดาษที่ให้คนทั้งประเทศฟังในช่วงเวลาติดต่อกันยาว 4-5 ชั่วโมง

“การคิดเช่นนั้นอาจทำให้ผมซึ่งทำธุรกิจอยู่ถูกเตะตัดขาได้ด้วยวิธีการต่างๆ สิ่งที่ผมเขียน และผมพูดกับนักข่าวเช่นนั้นก็เพื่อให้คนตัวใหญ่ๆในบ้านเมือง และนักธุรกิจที่มีเงินมากๆหันไปให้ความช่วยเหลือคนที่ตกงาน คนระดับล่างที่เขากำลังไม่มีรายได้ ไม่มีกิน และบอกกับผู้มีอำนาจในรัฐบาลว่า อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้ประเทศไทยรอดพ้นจากวิกฤติโควิด”

ผมทั้งเขียนและให้สัมภาษณ์ไปหลายครั้งว่า วัคซีน คือ ปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะทำให้ประเทศไทยอยู่รอด และคนไทยกลับมาทำมาค้าขายกันได้

“ท่านผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ตลอดจนสหประชาชาติ องค์การอนามัยโลก และประเทศต่างๆ ก็มีความเห็นเช่นเดียวกันว่า วัคซีน คือสิ่งสำคัญที่จะทำให้ผู้คนในประเทศต่างๆทั่วโลกมีภูมิคุ้มกันเพียงพอที่จะต่อสู้กับไวรัสโควิดได้ เหมือนกับการต่อกรกับไข้หวัดใหญ่ในแต่ละปี”

แต่สถานการณ์กลับเลวร้ายลงเรื่อยๆ เพราะการบริหารจัดการวัคซีนของรัฐบาลไม่เป็นเอกภาพ ผิดพลาด และประเมินผลที่จะเกิดขึ้นคลาดเคลื่อนไปมาก นั่นทำให้มีผู้คนเสียชีวิตมากถึงวันละ 200-300 คน มีคนไทยมากกว่า 1 ล้านคนติดเชื้อสะสม และติดเชื้อไวรัสหนักที่สุดในเดือนสิงหาคมปี 2564 เฉลี่ยวันละ 20,000 คน

“เขาคงไม่คิดว่า จะมีวันนี้ หรือเรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ถึงจะอยากแก้ไขความผิดพลาด ด้วยการกลับลำให้ภาคเอกชนช่วยจัดหาวัคซีนเข้ามาได้ แต่ถ้าไม่ออกกฎหมายนิรโทษกรรมจากสิ่งที่ทำกันไว้เดิม การจัดหาวัคซีนก็จะเกิดอุปสรรคเดินหน้าไม่ได้ เพราะเท่ากับเป็นการเปิดแผลเขา...”

เศรษฐา กล่าวว่า เขาไม่ติดใจเรื่องของการออกพระราชกำหนดนิรโทษกรรมให้ผู้จัดซื้อจัดหาวัคซีน เพราะเป้าหมายสำคัญอยู่ที่การจัดหาวัคซีนให้ได้มากที่สุด ถ้ามัวไปติดอยู่กับประเด็นนี้ การจัดหาวัคซีนให้คนไทยจะกลายเป็นคอขวดที่ทำให้เกิดความยุ่งยากมากขึ้น

ผมก็คิดอย่างคนธรรมดา ง่ายๆคือต้องอภัยโทษให้เขา เพราะธรรมดาคนโกงก็ต้องตกนรกตายอยู่แล้ว จริงไหม?!

CEO บมจ.แสนสิริ ยังให้ข้อคิดด้วยว่า ด้วยความได้เปรียบที่ทำให้ประเทศไทยยังคงครองตำแหน่งการเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอินโดจีน

เขาจึงเชื่อว่า ถ้ารัฐบาลใช้วิธีการทางการทูตร่วมกับการจัดหาวัคซีน ด้วยการเจรจาต่อรองกับจีนและสหรัฐอเมริกา ในการเสนอผลประโยชน์ด้านการลงทุนในโครงการต่างๆให้เพื่อแลกเปลี่ยนกับวัคซีนซึ่งต้องส่งเข้าให้ประเทศไทยเร็วที่สุด ก็ไม่น่าจะมีปัญหาที่ทำให้คนไทยเกิดความไม่เห็นด้วย

ในขณะที่ประเทศไทยอาจได้ข้อเสนอด้านการลงทุนโครงสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่ดีกว่าเข้ามาก็ได้

แต่ก็น่าเสียดายที่นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลไทยนิ่งเฉยกับเรื่องนี้ จะบอกว่า นายกรัฐมนตรีไม่เก่งภาษาอังกฤษ ก็ต้องเอาสิ่งที่บรรพบุรุษทำในอดีตมาเปรียบเทียบกันดู

“เราใช้วิธีต่อรองทางการทูต และการแลกเปลี่ยนกับต่างชาติมาตลอดด้วยวิธีการต่างๆ และก็สำเร็จมาแล้วทั้งสิ้น”

น่าเสียดายที่รัฐบาลไทยไม่ขยับเรื่องนี้เลย ไม่ทราบด้วยเหตุผลใดเหมือนกัน

เมื่อถามถึงการขยายตัวของจีดีพีไทยที่ถูกหลายสำนักทำนายว่า น่าจะขยายตัวได้ 0.7-1.2% ขณะที่บางสำนักออกบทวิเคราะห์ว่า ถ้ายังติดกับดักโควิดโดยไม่เปิดประเทศ จีดีพีปีนี้อาจติดลบ หรือขยายตัวต่ำกว่า 0%

เศรษฐา ตอบว่า เขาไม่ได้มองว่าตัวเลขนี้สำคัญ เพราะเป็นการมองปัจจุบัน จากการต้องปิดไซต์งานก่อสร้างเพราะคำสั่งล็อกดาวน์ แต่ถ้ามองไปในอนาคต สิ่งที่สำคัญมากกว่าจีดีพี คือ วัคซีน

“วัคซีนที่พูดๆกันจะมาจริงหรือไม่ มาเมื่อไหร่ และทันต่อเป้าหมายการเปิดประเทศหรือไม่ ถ้าจะขยายการเปิดประเทศจาก 120 วันเป็น 160 วัน เพื่อรอให้วัคซีนเข้ามาในประเทศได้มากที่สุด ก็ต้องไปนับจีดีพีกันในปีหน้า 2565...

ฐานที่ต่ำมากในปี 2563-2564 อาจจะทำให้จีดีพีในปีหน้า กระเด้งขึ้นเป็นบวก 5 หรือ บวก 8 ก็ได้ เพราะเราไม่ได้วาดหวังกันไว้แค่ปีนี้ แต่เราต้องอยู่กันในปีต่อๆไปในระยะยาว เพียงแต่ขอให้ประเทศ และคนไทยเรามีอนาคตที่ดีในวันข้างหน้าเท่านั้น”

อนาคตที่ดีคืออะไร? คือ การสร้าง HOPE หรือความหวังให้กับประชาชนคนไทย ผมคาดหวังว่า รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจอย่าง นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รมว.พลังงาน จะออกมาสร้างความหวังให้กับคนในประเทศด้วยการประกาศว่า รัฐบาลจะกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ หรือใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ด้วยมาตรการใดบ้าง ภายในระยะเวลาเท่าใด เช่น เริ่มจากวันนี้ไปอีก 6 เดือนข้างหน้า

นี่คือสิ่งที่จะทำให้สภาพจิตใจของประชาชนดีขึ้น มีความหวังว่าอีกไม่กี่เดือนพวกเขาจะกลับมาทำมาหากินกันได้ตามปกติ เพื่อให้ทุกฝ่ายวางโรดแม็ปของตัวเองได้ว่า จะต้องทำอะไรบ้างในอีก 6 เดือนข้างหน้า

ที่สำคัญหลังเปิดประเทศ รัฐบาลดูหรือยังว่าการบินไทยกับสายการบินอื่นๆในประเทศพร้อมจะรับขนส่งคนเข้า-ออกในประเทศและต่างประเทศเพียงใด

สมมติว่า เปิดประเทศได้จริงในเดือน ม.ค.ปีหน้า จะมีสายการบินใดแข็งแกร่งพอจะลุกขึ้นมาสู้อีกครั้งได้ และพานักท่องเที่ยวเดินทางสู่แหล่งท่องเที่ยวของไทยได้เหมือนเดิม

“เทศกาลโชว์ช้าง และอื่นๆจะยังมีอยู่เหมือนเดิมไหม สตรีทฟู้ดจะมีใครเหลืออยู่บ้าง หรือ คิง เพาเวอร์ ยังกลับมาเปิดที่ภูเก็ตได้อีกไหม ถึงเวลานี้ รัฐบาลควรจะต้องตรวจสอบแล้วว่า แหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆยังคงมีความสามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวได้มากน้อยเพียงใดในขณะที่เวลานี้ มีแต่ข่าวสารที่ออกมาบอกว่าโรงแรมที่พักล้มหายตายจากไปมาก”

เมื่อมีความหวัง แรงบันดาลใจจะเกิดขึ้นตามมา แต่ต้องไม่ลืมนะว่า รัฐบาลต้องเร่งฉีดวัคซีนให้แก่คนไทยให้ได้เต็มที่ หรือมากกว่าวันละ 500,000 คน เป็น 1 ล้านคนได้หรือไม่

“ที่อเมริกา รัฐบาลประกาศว่า เขามีวัคซีนสำรองไว้ 3.8 เท่าของประชากรสหรัฐฯ ถ้าเป็นประเทศไทย เรามีประชากร 70 ล้านคน เราควรมีวัคซีนไว้เผื่อสัก 200 ล้านโดส รวมเข็ม 3 ที่ต้องฉีดกระตุ้นภูมิด้วย...

ถ้าจะนับเป็นตัวเงิน สมมติโดสละ 1,000 บาท ก็เท่ากับ 200,000 ล้านบาท เท่ากับ 6.7% เท่านั้นของงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 3 ล้านล้านบาท และนี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ผมเห็นด้วยกับการกู้เงินอีก 1 ล้านล้านบาทเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ”

เศรษฐา ตอกย้ำอีกครั้งว่า รัฐบาลและราชการควรจะเลิกยกเอาเพดานหนี้สาธารณะที่กำหนดไว้ประมาณ 60% ของจีดีพี มาเป็นข้ออ้างที่ไม่ยอมกู้เงินก้อนใหญ่ๆเข้ามาอัดฉีดเศรษฐกิจได้แล้ว

“สมมติว่า กู้มาวันนี้มีดอกเบี้ย 2% อีก 50 หรือ 100 ปี ดอกเบี้ยขึ้นไปเป็น 3% แต่การจีดีพีขยายตัวไป 7% หนี้สินที่มีแทบไม่ต้องใช้ เพราะเศรษฐกิจขยายตัวไปเกินแล้ว

อีกประเด็นที่รัฐบาลควรดูแลอย่างใกล้ชิดก็คือ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย และเศรษฐกิจโลกในปีนี้ จะมีลักษณะเป็น K Shape ไม่ใช่ V Shape อย่างที่ประเมินกันเบื้องต้น ลักษณะของ K Shape คือ ขาบนของตัว K คือ กลุ่มคนรวย ซึ่งไม่ต้องไปห่วง เพราะคนรวย ยังคงรวยมากขึ้น แต่ขาล่างของตัว K คือ คนจนซึ่งมีมากขึ้นดูได้จากสถิติที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจัดเก็บไว้

ถ้ารัฐบาล หรือธนาคารแห่งประเทศไทยจะใช้อัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นเครื่องมือ ก็คงจะช่วยคนระดับล่างได้ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งต้องเข้าไปอุดหนุนสินค้าเกษตรให้เขาสามารถผลิตสินค้าได้ในราคาที่สามารถอยู่ได้ ในเวลาเดียวกันก็ต้องเข้าไปช่วยเหลือคนที่ภูมิลำเนาเพราะที่กรุงเทพฯไม่มีงานให้ทำด้วย

เศรษฐา กล่าวในตอนท้ายว่า คนไทยต้องช่วยกันคนละไม้คนละมือเพื่อความอยู่รอดของทุกฝ่าย “ผมเชื่อว่า จากนี้ไปอีก 6 เดือนข้างหน้า ถ้าเราช่วยกัน เราจะวิ่งตามประเทศอื่นที่เขาออกวิ่งไปก่อนเราได้ทัน แค่ขอให้เราออกวิ่งได้จริงๆเท่านั้น เราก็สามารถจะวิ่งตามคุณทันแน่ เพราะมันคือการวิ่งมาราธอน”.

ทีมเศรษฐกิจ


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ