ผมนั่งอ่านข่าวผู้ว่าการแบงก์ชาติ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ พูดถึงวิกฤติเศรษฐกิจไทยจากการระบาดของโควิด-19 ในช่วงเกือบสองปีที่ผ่านมา ฟังแล้วรู้สึกอ้างว้างมองไม่เห็นฝั่ง สถานการณ์ระบาดที่รุนแรงยืดเยื้อเกินกว่าที่ประเมินไว้ในช่วงต้นปี จะฉุดจีดีพีไทยทรุดยาวไปถึง 3 ปี จาก หลุมดำรายได้ขนาดใหญ่มูลค่า 2.6 ล้านล้านบาท ที่หายไปจากระบบเศรษฐกิจตั้งแต่ปี 2563–2565 จากผลงานความล้มเหลวในการบริหารประเทศของ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่บริหารประเทศไทยมานานถึง 8 ปี
เงิน 2.6 ล้านล้านบาทที่หายไปจากระบบเศรษฐกิจ ประกอบด้วย รายได้จากการจ้างงานที่หายไป 1.8 ล้านล้านบาท ในปี 2563-2564 แบ่งเป็น นายจ้างและอาชีพอิสระ 1.1 ล้านล้านบาท ลูกจ้าง 700,000 ล้านบาท และ ปี 2565 รายได้จากการจ้างงานจะหายไปอีก 800,000 ล้านบาท นี่คือ กำลังซื้อในประเทศล้วนๆ รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย
ผมเดาว่า มูลค่าเศรษฐกิจที่หายไปจากระบบ 2.6 ล้านล้านบาทนี้ แบงก์ชาติยัง ไม่ได้รวมความเสียหายจากการต่ออายุล็อกดาวน์ล่าสุด ที่ซื้อเวลาไปถึงสิ้นเดือนสิงหาคม และ อาจลากยาวไปจนถึงเดือนกันยายน ตามตัวเลขคาดการณ์ของกระทรวงสาธารณสุข แต่จนถึงวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ก็ยังไม่สามารถจัดหาวัคซีนประสิทธิภาพสูงมาให้ประชาชนได้อย่างทั่วถึง มีแต่ตัวเลขเป็น 100 ล้านโดส มาขายฝันให้กับประชาชน แม้แต่ชุดตรวจหาเชื้อเชิงรุก ATK แค่ประมูลก็ส่อเค้าความไม่โปร่งใส จนต้องแถลงแก้ตัวกันทั้งกระทรวง
อินโดนีเซีย ประเทศที่มีผู้ติดเชื้อโควิดกว่า 3.8 ล้านคน อยู่อันดับต้นๆ ของโลก แต่วันนี้ กรุงจาการ์ตา เมืองหลวงอินโดนีเซีย เขาเปิดบ้านเปิดเมืองแล้วครับ เปิดห้างสรรพสินค้า เปิดร้านอาหารให้ผู้ใช้บริการได้ 25% โดยมีเงื่อนไขว่า ผู้เข้าใช้บริการต้องฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มเท่านั้น เพราะ กรุงจาการ์ตามีการฉีดวัคซีนเข็มแรกเกือบ 100% แล้ว และ เข็ม 2 กว่า 50%
ในขณะที่ กรุงเทพมหานคร กลับต้องล็อกดาวน์ต่อถึงสิ้นเดือน ยังไม่รู้จะจบหรือเจ็บต่อ เพราะวัคซีนหลักของชาติ แอสตราเซเนกา ยังไม่มา ไฟเซอร์ ก็ต้องรอถึงไตรมาส 4 การตรวจหาเชื้อก็ทำได้เฉลี่ยวันละ 5 หมื่นกว่าคน แล้วจะไปสู้ไวรัสที่ระบาดผ่านลมหายใจได้อย่างไร
กรุงจาการ์ตา เมืองหลวงอินโดนีเซีย มีประชากรราว 11 ล้านใกล้เคียงกับ กทม. และประกาศล็อกดาวน์ต้นเดือน ก.ค. ใกล้เคียงกับ กทม. ทำไมเขาเอาอยู่ กทม.เอาไม่อยู่
รัฐบาลอินโดนีเซีย ไม่ทำงานในห้องแอร์ แต่ใช้ข้อมูลบิ๊กดาต้าสแกนเมืองหลวงทุกจุด จุดไหนสีแดงเข้มมีการระบาด ก็ส่งทีมแพทย์พยาบาลเคลื่อนที่เร็วลงลุยตรวจทันที เพื่อคัดแยกผู้ติดเชื้อออกจากชุมชน เหมือนกับ “ทีมแพทย์ชนบท” ที่เคยขึ้นมาช่วยเหลือ กทม. แต่อินโดนีเซียทำได้เหนือกว่าไทยตรงที่ เมื่อลงพื้นที่ตรวจคัดแยกผู้ติดเชื้อแล้ว ผู้ที่ไม่ติดเชื้อจะได้รับการฉีดวัคซีนทุกคน แม้จะเป็นซิโนแวคก็ตาม จนสามารถเอาอยู่ในช่วงเวลาเพียงเดือนเศษ
ประธานาธิบดีโจโก วิโดโด ผู้นำอินโดนีเซีย แถลงต่อรัฐสภา 17 ส.ค. ซึ่งเป็นวันชาติอินโดนีเซีย ว่า มาตรการล็อกดาวน์จะสิ้นสุดลง ในวันที่ 23 ส.ค.นี้ อัตราการครองเตียงในโรงพยาบาลของผู้ป่วยโควิด-19 บนเกาะชวา มีแนวโน้มลดลงมาก จากที่เคยสูงถึง 90% ในเดือนมิถุนายน เดือนนี้ลดลงเหลือเพียง 29.4% ส่งผลให้ จีดีพีอินโดนีเซียปีนี้จะขยายตัวได้สูงถึง 7% ในขณะที่จีดีพีไทยปีนี้ สภาพัฒน์
ให้ขยายตัวเพียง 0.7-1.2% แต่ ภาคเอกชนให้ติดลบ -1.5-0.0% จึงไม่แปลกที่การจัดอันดับของ Nikkei ญี่ปุ่น ในเดือนที่ผ่านมา ดัชนีการฟื้นตัวของไทยต่ำที่สุดในโลก อยู่ในอันดับบ๊วย 120 จาก 120 ประเทศคู่กับ เวียดนาม ได้คะแนนฟื้นตัวเพียง 22.0 คะแนน
แต่ที่เป็นห่วงยิ่งกว่าก็คือ ถ้าจีดีพีปีนี้ติดลบอีก เศรษฐกิจไทยจะติดลบต่อเนื่อง 2 ปี ถือว่าเข้าสู่ “ภาวะเศรษฐกิจถดถอย” อย่างสมบูรณ์ ถ้าลากยาวถึง 3 ปี คนไทยจะอยู่กันอย่างไร
แล้วนายกฯตู่ยังมีหน้ามาโพสต์อีก ขอให้ทุกคนอดทน รักษาสุขภาพ ดูแลป้องกันตนเองและคนรอบข้างไม่ให้ติดเชื้อ ขอเรียนตามตรงครับ พวกเราทนไม่ไหวแล้วครับ.
“ลม เปลี่ยนทิศ”