ตลาดลักชัวรีจับตาการฟื้นตัวอีกครั้ง เมื่อ LVMH รายงานผลประกอบการปี 2024 ที่ออกมาสูงเกินกว่าที่ Visible Alpha คาดการณ์ไว้เล็กน้อยว่ายอดขายจะทรงตัว จากแรงหนุนของยอดขายไตรมาสสุดท้าย หลังบริษัทต้องรับมือกับความท้าทายทั้งปัจจัยด้านเศรษฐกิจและความต้องการของตลาดลักชัวรีที่ลดลงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
รายได้ออร์แกนิกเติบโต 1% ในไตรมาสที่สี่ซึ่งเร่งตัวขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสที่สาม ทั้งนี้รายได้สุทธิของทั้งปีอยู่ที่ 84,700 ล้านยูโร (88,300 ล้านเหรียญ) ลดลง 2% เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 19,600 ล้านยูโร (20,460 ล้านเหรียญ) ลดลง 14% จากปีก่อน ด้านหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นประมาณ 18% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยลดลงมากกว่า 13% ในปี 2024
รายงานระบุว่า แม้จะมีความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจมหภาคที่ยังคงดำเนินต่อไป กอปรกับพื้นฐานของตลาดแตกต่างไปจากก่อนช่วงโควิดแพร่ระบาด แต่แนวโน้มของกลุ่มในปี 2025 นั้น "เริ่มต้นได้ดี"
ทั้งนี้การเติบโตของรายได้นำโดยผู้บริโภคในยุโรป สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่นที่มีรายได้เติบโตสองหลัก ส่วนที่เหลือของเอเชียสะท้อนให้เห็นการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ขณะที่จีนแสดงสัญญาณฟื้นตัวผ่านการจับจ่ายของนักท่องเที่ยวในต่างประเทศ อย่างไรก็ตามในปีนี้อุตสาหกรรมอาจเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงใหม่อย่างที่อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจ เช่น ภาษีศุลกากรที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
กลุ่มแฟชั่นและเครื่องหนังยังเป็นตัวขับเคลื่อนรายได้หลัก ทั้ง Louis Vuitton และ Christian Dior ได้รับการตอบรับที่ดีมากขึ้นจากการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกและพาราลิมปิกที่ปารีส ต่อเนื่องด้วยกลุ่มนาฬิกาและเครื่องประดับซึ่งได้แรงหนุนโดดเด่นจาก Tiffany และ Bulgari
นอกจากนี้พบการเติบโตที่มีนัยสำคัญของหน่วยค้าปลีก Beauty Retail ที่แซงขึ้นมาเป็นท็อปสามของหน่วยธุรกิจทั้งหมด จากแรงหนุนของ Sephora ที่โดดเด่นด้วยการเติบโตสองหลักทั้งในด้านรายได้และกำไร ตามหลังด้วยกลุ่มน้ำหอมและเครื่องสำอาง ไวน์และสุรา ที่ได้รับผลกระทบอย่างมากจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนตลอดทั้งปี อย่างไรก็ตามกลุ่มไวน์และสุรามีการฟื้นตัวของอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นจากปี 2023
การขยับของตัวเลขรายได้จากกลุ่ม LVMH ซึ่งนับเป็นอาณาจักรแบรนด์หรูที่ใหญ่ที่สุดในโลกครั้งนี้ถือเป็นตัวบ่งชี้อุตสาหกรรมลักชัวรีโดยรวม ซึ่งเผชิญกับแรงกดดันอย่างมากท่ามกลางยอดขายที่ลดลงในจีนและอุปสรรคทางเศรษฐกิจมหภาคที่กว้างขึ้น เนื่องจากกลุ่มบริษัทมีการเข้าถึงหมวดหมู่สินค้าที่หลากหลาย เช่น ไวน์และสุรา แฟชั่นและเครื่องหนัง นาฬิกาและเครื่องประดับ เครื่องสำอางและน้ำหอม ต่อเนื่องจากก่อนหน้านี้ที่ Burberry และกลุ่ม Richemont เจ้าของแบรนด์หรูอย่าง Cartier และ Van Cleef & Arpels ได้รายงานยอดขายไตรมาสที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์
บทความที่เกี่ยวข้อง
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -