“เจ๊จะสอนลูกให้ดูสิ่งที่ผ่านมาว่าที่แม่มาถึงวันนี้ และแม่มีทุกวันนี้ได้ เพราะแม่เป็นแบบนี้ แม่ทำแบบนี้ เพื่อให้ลูกนำไปเป็นแบบอย่างในการทำธุรกิจ”
“จงใจ กิจแสวง” เจ้าของร้าน “หมูทอดเจ๊จง” ชื่อดังในซอยหลังโลตัสพระราม 4 ในวัย 60 ปี เป็นผู้หญิงที่มีหน้าตายิ้มแย้มเป็นมิตรจริงใจ ดูเป็นผู้ใหญ่ใจดี พูดจาเสียงดังฟังชัด เล่าว่า เปิดร้าน “หมูทอดเจ๊จง” มาเกือบ 20 ปี ตอนนั้นอายุใกล้จะ 40 แล้ว
โดยก่อนหน้านั้นเปิดร้านขายของชำเล็กๆในตลาดแฟลตการท่าเรือ ก่อนจะโดนโกงแชร์เป็นหนี้สินล้นพ้นตัว แต่ก็สู้และอดทน ทำทุกอย่างเพื่อหาเงินมาใช้หนี้ ตั้งแต่ขายกาแฟ ขายนมสด หมูปิ้ง อาหารตามสั่ง จนมาขายข้าวแกงบุฟเฟต์ที่ว่าดี แต่ก็ยังมีรายได้ไม่พอใช้หนี้ ก่อนที่สุดท้ายจะเปลี่ยนมาขายหมูทอดจนประสบความสำเร็จถึงวันนี้
ลูกค้า “เจ๊จง” จะรู้ว่าถ้ามาที่ร้าน “หมูทอดเจ๊จง” นอกจากจะเติมข้าวฟรี ตักเพิ่มได้ไม่อั้นแล้ว ยังมีผักสดเติมได้ตลอด และยังมีกล้วยน้ำว้าให้กินฟรีอีกด้วย ถามว่าทำไมถึงให้เติมข้าวฟรีได้ไม่อั้น “เจ๊จง” บอกว่า ลูกค้าเขากินข้าวจานเดียวไม่อิ่มแล้วขอเพิ่มข้าว เราไม่อยากคิดเงินเพิ่ม ถือว่าช่วยๆกัน เราทำแบบนี้ตั้งแต่ช่วงเปิดร้านแรกๆ
“ลูกค้าบางคนเขาลำบาก เคยมีคนหนึ่งสั่งข้าวเปล่า 1 จานกับเกี๊ยวกุ้ง 1 ตัว ตัวละ 6 บาท แล้วเขาใส่กากแป้งทอด (ที่ได้จากหมูทอดที่เรามีให้เติมฟรี) แล้วราดน้ำจิ้มเยอะ กินหมดก็มาเติมข้าวราดน้ำจิ้มอีกโดยที่กุ้งยังอยู่ เราก็คิดว่าเขาคงไม่มีจริงๆให้เขาได้กิมอิ่มก่อนออกไปจากร้านเราดีกว่า
ส่วนกล้วยน้ำว้านั้น มันเริ่มจากเราอยากช่วยแม่ค้าซื้อ ราคาไม่แพง เลยเหมามาหมด คิดแค่ว่าซื้อมาแบ่งให้ลูกค้าเรากินด้วย ปรากฏว่าลูกค้าชอบกิน บางคนกินข้าวจานเดียวยังไม่อิ่ม ก็อาจอยากกินกล้วยต่อ จึงทำมาเรื่อยๆ รู้สึกมีความสุขที่เห็นลูกค้าได้กินของที่เราให้ไว้ และลูกค้าก็คงมีความสุขและประทับใจ
“เจ๊จง” บอกว่า เราเคยได้รับความประทับใจแบบนี้มาแล้ว มีครั้งหนึ่งที่ไปจ่ายตลาด ซึ่งอากาศร้อน แล้วแม่ค้าที่ซื้อกันเป็นประจำ เขาซื้อพัดมาแจกให้เรา พัดสานอันไม่กี่บาท แต่เรารู้สึกว่ามันได้ใจเรา มันคือการแบ่งปันที่ทำให้เราประทับใจ จึงมาทำกับลูกค้าเราด้วย ซึ่งมีบางวันที่ “เจ๊จง” ไปตลาด แล้วไปเจอขนมอร่อย ก็จะซื้อมาฝากให้เด็กในร้านและซื้อมาเผื่อให้ลูกค้าได้กินด้วย
หรืออย่าง การนำผักมาให้ลูกค้าเติมได้ตลอดเพราะ “เจ๊จง”ไปเฝ้าสามีป่วยที่โรงพยาบาล จนตัวเองไม่สบายเอง จึงลงไปหาหมอ เห็นคนป่วยมารอคิวให้หมอตรวจเต็มไปหมด ก็คิดเลยว่าถ้าลูกค้ามากินแต่หมูทอดร้านเรา แล้วไม่มีผักกินเลย ไม่น่าจะดี จึงนำผักมาไว้ให้ลูกค้าได้กินด้วย เพราะผักมีประโยชน์แน่ๆ
“เจ๊ว่ามันคือการใส่ใจและการแบ่งปัน เอาใจเขามาใส่ใจเรา อย่าง เวลาลูกค้าขออะไร เจ๊จะตอบก่อนเลยว่า “ได้ค่ะ” เพราะดูแล้วมันไม่เหลือบ่า กว่าแรง อย่างจะขอกับข้าวเพิ่ม ขอน้ำแกงเพิ่ม ขอน้ำจิ้มกลับบ้านเพิ่ม เมื่อก่อนเราใส่ถุงให้ฟรีเลย แต่พอตอนหลังต้นทุนของมันแพงขึ้น เราก็จะบอกลูกค้าว่า ขอคิดค่าน้ำจิ้มที่ใส่กลับบ้านถุงละ 2 บาท ลูกค้าก็ยินดีจ่ายและถ้าหากทางร้านทำอะไรผิดพลาด เราจะขอโทษเค้าก่อนเลย” เจ๊จงกล่าว
“เจ๊จง” เล่าต่อว่า มีลูกค้าหลายคนที่เขามากินร้านเจ๊ทุกวัน และวันเสาร์อาทิตย์ยังพาครอบครัวมากินอีก เจ๊เคยถามว่าทำไมมากินร้านเจ๊ทุกวัน เจ๊ว่ามันเป็นความผูกพันกันไปแล้ว ทำให้เจ๊ต้องเปิดร้านทุกวันไม่หยุดวันเสาร์อาทิตย์ แม้วันอาทิตย์จะปิดแค่เที่ยงวัน เพราะกลัวลูกค้าไม่มีอะไรทาน และไม่กล้าปิดร้านวันธรรมดาก่อนเวลา 4 โมงเย็นด้วย กลัวเขามาไม่เจอ เหมือนเราเป็นที่ฝากท้องของเค้าไปแล้ว
“หมูทอดร้านเจ๊จง อาจไม่ใช่ร้านที่อร่อยที่สุด และราคาที่ขายทั้งข้าวหมูทอดและข้าวแกงก็อาจไม่ได้ถูกที่สุด เพราะยังมีร้านอื่นที่ถูกกว่า แต่ร้านเราเน้นคุณภาพและราคาที่คุ้มค่าสมเหตุสมผลมากกว่า ลูกค้ามากินแล้วได้รสชาติดี อร่อย กินแล้วอิ่มคุ้ม เราไม่ได้ต้องการมีกำไรเยอะที่สุด ขอแค่ให้เราพอมีกำไรอยู่ได้และลูกค้าอยู่ได้ แต่เราขายได้ทุกวัน แม้ช่วงที่เกิดวิกฤติโควิดหรือมีปัญหาอื่นๆ” เจ๊จงกล่าว
“เจ๊จง” บอกว่า ปัจจุบันหมูทอดเจ๊จง มีลูกๆขยายสาขาออกไปเปิดร้านรวม 24 สาขา ทั้งในห้างและนอกห้าง นอกจากนี้ยังมีขายออนไลน์ผ่านแอปต่างๆด้วย ทุกวันนี้เจ๊จงรับหมูสดมาจากโรงงานใหญ่ที่มีมาตรฐานระดับประเทศวันละหลายร้อยกิโลกรัม โดยทุกร้านจะใช้หมูหมักทอดจากร้านเจ๊จง ส่วนกับข้าวอื่นๆก็แล้วแต่ความถนัดของลูกๆ เขยและสะใภ้ เราจะมีการประชุมพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นและช่วยกันแก้ปัญหาให้คำแนะนำกันภายในครอบครัวทุกเดือน
ปัจจุบันลูกจ้างร้านที่พระราม 4 มีประมาณ 20 คน ลูกจ้างคนแรกที่ทำกันมายังอยู่จนทุกวันนี้ หากรวมสาขาของลูกๆหมูทอดเจ๊จงน่าจะสร้างงานให้คนได้หลายร้อยคน ขณะที่ยังมีลูกค้าที่มารับข้าวหมูทอดเจ๊จงไปขายต่อตั้งแต่สมัยโควิดจนถึงวันนี้ก็ยังมารับไปขายอยู่
“เจ๊จง” บอกว่า ทุกวันนี้ภูมิใจที่ทำให้ลูกๆมีอาชีพที่ดี มีครอบครัวช่วยกันทำมาหากิน และสร้างงานให้คนได้ ที่สำคัญเจ๊จงมีลูกค้าที่เป็นผู้ใหญ่หลายๆคนมาให้คำปรึกษา ให้ความเมตตาเอ็นดู จากการที่เราเป็นตัวตนของเราแบบนี้ อย่าง “ดร.สิริกุล เหล่าไกรกุล” ซึ่งเคยมาทานอาหารที่ร้าน และยังอาสาเข้ามาช่วยสร้างแบรนด์และคอยให้คำปรึกษาด้วย ถือว่าเราโชคดีมากๆ
“เจ๊จง” บอกว่า เมื่อก่อนตอนเป็นหนี้เจ๊นอนร้องไห้ทุกคืน ทุกวันนี้ไม่มีหนี้ แต่เจ๊ไม่ได้รวย แค่มีกินมีใช้ และมีบ้านอยู่อาศัย จากเมื่อก่อนที่ไม่มีจะกิน ไม่มีบ้านจะซุกหัวนอน ทำให้ทุกวันนี้เจ๊โคตรมีความสุขเลย เจ๊จงนอนหลับด้วยความสุขทุกคืน!!
Business on my way ของเจ๊จง นอกจากความขยันอดทนสู้ชีวิตแล้ว สิ่งสำคัญคือการ “ให้” ที่จริงใจ และความใส่ใจลูกค้า โดยเฉพาะการเอาใจเขามาใส่ใจเรา ถึงแม้วันนี้เจ๊จงจะบอกว่า ตัวเองไม่ได้ร่ำรวยอะไร แค่พอมีพอกิน แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดคือเจ๊จงรวยน้ำใจและร่ำรวยความสุขที่สุด!!
เลดี้แจน
คลิกอ่านคอลัมน์ “Business on my way” เพิ่มเติม