ขาดแฟนไม่ตาย แต่ขาด “ยาดม” แล้วเหมือนจะขาดใจ ...นี่คือ 1 ในพฤติกรรมของชาว “ยาดมเลิฟเวอร์” ในประเทศไทย ที่ “ยาดม” หลากหลายแบรนด์ได้กลายเป็นไอเทมติดตัว ติดอยู่ในกระเป๋าตลอดเวลา ชนิดที่ขาดไม่ได้!
บ้างก็วาง “ยาดม” ไว้ตามจุดต่างๆ เช่น โต๊ะทำงาน หัวเตียง หรือในรถ ทำหน้าที่ตั้งแต่ช่วยผ่อนคลาย แก้เครียด แก้เซ็ง เบื่อก็แค่ดม “ยาดม” ขึ้นแท่นกลุ่มเป้าหมายหลักของสินค้าที่เรียกว่า Heavy users หรือคนติดยาดม
อย่างไรก็ดี ตามข้อมูลของ K SME ธนาคารกสิกรไทย ยังระบุว่า เมื่อเจาะอินไซต์ชาวยาดมเลิฟเวอร์เชิงลึกแล้ว ยังมีอีกกลุ่มผู้ใช้งานที่น่าสนใจ อย่างกลุ่ม Light users ซึ่งเป็นกลุ่มที่มักมองหา “ยาดม” เพื่อใช้ในบางโอกาสเท่านั้น เช่น เมื่อเป็นหวัด คัดจมูก หรือหาซื้อติดตัวไว้เมื่อต้องเดินทางไปท่องเที่ยว เน้นยาดมที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ รูปแบบทันสมัย ใช้งานง่าย และรูปลักษณ์ทันสมัย
ส่งผลปัจจุบัน ตลาด “ยาดมไทย” โตวันโตคืน และมีมูลค่าตลาดหลักหลายพันล้านบาท อีกทั้งด้วยกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของสมุนไพรไทย ยังทำให้เกิดกระแสฟีเวอร์ในหมู่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ซึ่งส่วนหนึ่งได้อิทธิพลจากเหล่าเน็ตไอดอล คนดัง อย่างลิซ่า BLACKPINK, หนุ่ม ๆ GOT7 และหวังอี้ป๋อ ที่กลายเป็นตัวแปรผลักดันความฟีเวอร์ของยาดมแบรนด์ไทย
ขณะบริษัท เบอร์แทรม (1958) จำกัด ผู้ผลิตและทำตลาดผลิตภัณฑ์ยาดมเป๊ปเปอร์มินท์ ฟิลด์ และยาหม่องน้ำเซียงเพียงอิ้ว ประเมินว่า ปัจจุบันมูลค่าของตลาดยาดมไทยอยู่ที่ประมาณ 4,500 ล้านบาทต่อปี
ซึ่งความน่าสนใจของตลาดยาดมนี้ คือเป็นสินค้าที่คนส่วนใหญ่มักใช้ไม่หมด แต่ก็ยอมซื้อใหม่ใช้ไม่ขาดมือ เรียกได้ว่า Brand Loyalty หรือความจงรักภักดีในแบรนด์สูงมาก
โดยข้อมูลรวบรวมของ K SME ที่อ้างอิงมาจาก ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์, ธุรกิจไทย และ RSTA ยังระบุว่า มีคนไทยประมาณ 10% ที่ใช้ยาดม ผลักดันให้ตลาดนี้มีโอกาสเติบโต 10-20% ต่อปี จากเหตุผล 4 ข้อหลักๆ
1. คนรุ่นใหม่หันมาใช้ยาดมมากขึ้น หลังจากแบรนด์ต่างๆ มีการเปลี่ยนภาพลักษณ์ดีไซน์บรรจุภัณฑ์ให้มีความทันสมัย เพิ่มโอกาสการดึงลูกค้าคนรุ่นใหม่เปิดใจลองซื้อใช้งาน ส่งผลให้ผู้ซื้อหลักของตลาดยาดมตอนนี้ 50% อายุเฉลี่ย 30-55 ปี
2. คนใช้งานมีพฤติกรรมซื้อซ้ำบ่อย (ทำหาย/ลืมพก) โดยคนไทย 70 ล้านคน ใช้ยาดมอย่างน้อย 10% และใช้อย่างน้อย 2 ชิ้น/เดือน
3. ต่างชาติชื่นชอบ ทั้งซื้อใช้เอง และซื้อยาดมสมุนไพรไทยเป็นของฝาก จนติด 10 อันดับของฝากจากเมืองไทย พร้อมข้อมูลประจักษ์ อย่างแบรนด์อ้วยโอสถที่เผยว่า สัดส่วนยอดขายจากนักท่องเที่ยวคิดเป็น 25% ของยอดขายทั้งหมด
4. ตัวเลือกเยอะขึ้น มีแบรนด์ใหม่ๆ และสูตรใหม่ๆ เข้ามาในตลาดอย่างเนื่อง ส่งผลให้ผู้บริโภคมีทางเลือก และผลักดันให้ตลาดโตมากขึ้น
ขณะกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ รายงานว่า ปัจจุบัน ยาดมไทยดังไกลไปทั่วโลก จนกลายเป็นภาพตัวแทนของ Soft Power ไทย โดยหลายแบรนด์มียอดส่งออกไปขายต่างประเทศสูงขึ้นเรื่อยๆ
เจาะแบรนด์ยาดมมาแรงแห่งยุค ที่สร้างยอดขายเติบโตอย่างน่าสนใจได้แก่
หงส์ไทย: ปี 2566 มีรายได้รวมกว่า 350 ล้านบาท เติบโตขึ้น 465% จากความโดดเด่น ดังนี้
Pastel ยาดมมินิมอล: ปี 2566 ทำรายได้รวมกว่า 998 ล้านบาท เติบโตขึ้น 134% จากความโดดเด่น ดังนี้
ทั้งนี้ K SME วิเคราะห์ว่า ทั้ง 2 แบรนด์ สามารถสะท้อนให้เห็นการเลือกใช้กลยุทธ์เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน ซึ่งเน้นจุดเด่น หรือ Brand Identity ที่ต่างกันอย่างชัดเจน จึงทำให้ทั้ง 2 แบรนด์เติบโตได้มากขึ้นเรื่อยๆ นั่นเอง
ติดตามข่าวสารด้านการตลาด กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney