“ชรินทร์” พลิกฟื้น “เดอะ ทวิน ทาวเวอร์” “รัดเข็มขัด” สร้างกำไรจุดขายใหม่ย่านบรรทัดทอง

“เดอะ ทวิน ทาวเวอร์” โรงแรมระดับ 4 ดาว วางเดิมพันปรับภาพลักษณ์ รีโนเวทโรงแรมใหม่ทั้งหมด คาดแล้วเสร็จปี 2568 ย้ำกลยุทธ์ปรับการบริหารแบบรัดเข็มขัด ทำให้ได้ผลกำไรกลับมา หลังประสบปัญหาช่วงโควิด-19 เผยปัจจุบันขึ้นชื่อในกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน เพราะเป็นโรงแรมใกล้ย่านถนนบรรทัดทอง สตรีทฟู้ดที่โด่งดังแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ

นายชรินทร์ ตันเจริญ ผู้จัดการทั่วไป โรงแรม เดอะ ทวิน ทาวเวอร์ เปิดเผยว่า ทางโรงแรมได้ใช้โอกาสการฟื้นตัวของธุรกิจหลังผจญกับสถานการณ์โควิด-19 ในปี 2563-2565 มาจนถึงปีนี้ 2567 ได้ทำการเปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่ หลังจากที่เปิดให้บริการมา 30 ปี ด้วยการรีโนเวทครั้งใหญ่เพื่อให้ดูทันสมัย ดีไซน์แบบโปร่ง โล่ง สบาย ทั้งห้องพักและห้องประชุมสัมมนา คาดสิ้นปี 2568 จะรีโนเวทห้องพักทั้ง 660 ห้องแล้วเสร็จทั้งหมด โดยเมื่อรีโนเวทโรงแรมบางส่วนแล้ว สามารถขึ้นค่าห้องพักได้ 20%

กลับมาทำกำไรได้ใกล้เคียงปี 2562

“ปัจจุบันให้บริการห้องพักจำนวน 540 ห้อง แบ่งเป็น 6 รูปแบบ ราคาเริ่มต้น 1,500-4,200 บาทต่อห้องต่อคืน อัตราเข้าพักเฉลี่ยในช่วง 8-9 เดือนแรกของปีนี้ อยู่ที่ประมาณ 80% ของช่วงปี 2562 ก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่น่าสนใจคือ ภายใต้การบริหารจัดการที่ปรับเปลี่ยนใหม่ แม้ภาพรวมรายได้จะยังน้อยกว่าช่วงก่อนโควิด 20% แต่สามารถทำกำไรได้ใกล้เคียงปี 2562 ที่ระดับ 35-40% ได้แล้ว และคาดว่าจะกลับมาฟื้นเต็ม 100% ในปี 2568”

ทั้งนี้ เหตุผลสำคัญมาจากการบริหารแบบรัดเข็มขัด บริหารต้นทุนได้ดีขึ้น เช่น ต้นทุน แรงงานก่อนโควิดมีพนักงานเกือบ 500 คน ตอนนี้เหลือ 270 คน ลดลงไปเกือบครึ่ง โดยได้ทำการอบรมพนักงานเพื่อให้ทำงานได้หลายหน้าที่ รวมทั้งใช้วิธีจ้างพนักงานจากบริษัท เอาต์ซอร์ซ (Outsource) ช่วยลดต้นทุนไปได้ 20% ทำให้ค่าใช้จ่ายจิปาถะของพนักงานลดลงตามไปด้วย หรือแม้แต่เรื่องการซักรีด เมื่อก่อนโรงแรมทำการซักรีดเอง แต่ปัจจุบันส่งซักรีดข้างนอกก็ช่วยลดค่าใช้จ่ายลงได้

กระจายนักท่องเที่ยวลดความเสี่ยง

นายชรินทร์กล่าวว่า ปัจจุบันถนนบรรทัดทองกลายเป็นสตรีทฟู้ดแห่งใหม่ของไทยที่มีชื่อเสียงโด่งดัง และได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน ทำให้เพิ่มยอดเข้าพักของโรงแรม เดอะ ทวิน ทาวเวอร์ กรุงเทพฯ ได้เป็นอย่างดี ตอนนี้นักท่องเที่ยวจีน ครองสัดส่วนมากอันดับ 1 ถึง 50% รองลงมาเป็นชาติยุโรป ตะวันออกกลาง 35% และอีก 15% มาจากนักท่องเที่ยวชาติอื่นในเอเชีย เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ รวมถึงลูกค้าคนไทย ซึ่งต้องบอกว่าการทำการตลาดของโรงแรมจากนี้ไปพยายามกระจายนักท่องเที่ยวในหลายๆชาติเพื่อลดความเสี่ยง ถ้าเปรียบเทียบก่อนเกิดโควิด-19 มีลูกค้าเป็นนักท่องเที่ยวจีน 80-90%

“นักท่องเที่ยวที่จีนนิยมเดินทางตามรอยโลกโซเชียลมาหาของกินย่านบรรทัดทอง มีทั้งกลุ่มกรุ๊ปทัวร์และกลุ่มเดินทางด้วยตัวเอง หรือ FIT ส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ที่มาแล้วก็โพสต์ลงโลกโซเชียล เป็นการช่วยกันโปรโมตต่อๆกันไปโดยปริยาย จนย่านถนนบรรทัดทองโด่งดังเป็นที่รู้จักในกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน เรียกว่ารู้จักย่านนี้ดีกว่าคนไทยด้วยซ้ำ”

ทั้งนี้ โลเกชันโรงแรมที่อยู่ใกล้ถนนบรรทัด ทอง นักท่องเที่ยวที่เข้าพักโรงแรมสามารถเดินไปถนนบรรทัดทองได้เลย แต่ทางโรงแรมก็มีรถชัตเทิลบัสให้บริการโดยมีจุดจอดที่ร้านเจ๊โอว บีทีเอสสถานีสนามกีฬาแห่งชาติ และศูนย์การค้าเอ็มบีเค โดยจะรับเวียนทุกๆ 30 นาที เก็บค่าบริการ 30 บาทต่อคน เป็นอีกหนึ่งบริการอำนวยความสะดวก

จัดโปรโมชันดึงลูกค้ากลุ่มคนไทย

สำหรับลูกค้าคนไทยที่มาใช้บริการของโรงแรมจะเป็นกลุ่มประชุมสัมมนาเป็นส่วนใหญ่ รวมไปถึงการเจาะเข้าถึงกลุ่มนักกีฬาที่มาเก็บตัว ส่วนคนไทยที่มาพักที่โรงแรมเพื่อมาทำความรู้จักกับสตรีทฟู้ดของถนนบรรทัดทอง กระแสยังไปไม่ถึงขนาดนั้น อย่างไรก็ตาม ทางโรงแรมได้จัดโปรโมชันห้องอาหารภายในโรงแรมเพื่อดึงดูดคนไทยมาใช้บริการ โดยบุฟเฟต์อาหารนานาชาติจากห้องอาหารโกลด์ ทีค ราคาคนละ 550 บาท มีรายการอาหารเต็มไลน์บุฟเฟต์มากกว่า 30 เมนู ที่รวมทั้งอาหารคาวหวานให้ครบจบในมื้อเดียวรอบกลางวัน 11.30-14.30 น. และให้จุใจมากกว่าเดิม เพิ่มรอบมื้อเย็นตั้งแต่ช่วงเวลา 17.30-21.30 น. ในราคาเดิม 550 บาท

ส่วนภัตตาคารฟุ หมาน เหลา ห้องอาหารจีนที่โด่งดังเรื่องรสชาติอาหาร และเป็นเสมือนห้องรับแขกของเถ้าแก่ในย่านนี้ ได้จัดโปรโมชันสุดคุ้มของเดอะแก๊งค์! มา 6 คน จ่าย 5 คน กับบุฟเฟต์ติ่มซำ เริ่มต้น 559 บาทต่อท่าน ให้อิ่มอร่อยกับติ่มซำร้อนๆแบบไม่อั้น มีเมนูให้เลือกมากกว่า 30 รายการ รวมเครื่องดื่มและของหวานไม่จำกัดเวลา โดยเชฟผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์มากกว่า 30 ปี ราคาดี รายการอาหารสุดคุ้มแบบนี้ พลาดไม่ได้ โดยเปิดให้บริการทุกวันจันทร์-อาทิตย์ 11.00-22.30 น. รับออเดอร์สุดท้ายเวลา 22.00 น.

อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” เพิ่มเติม