แกะกลยุทธ์สร้างแบรนด์เลิฟ Love Potion “ซ้อการ์ด-ซุง” คนธรรมดาก็ปังได้ ทำรายได้หลักร้อยล้าน

Business & Marketing

Marketing

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

แกะกลยุทธ์สร้างแบรนด์เลิฟ Love Potion “ซ้อการ์ด-ซุง” คนธรรมดาก็ปังได้ ทำรายได้หลักร้อยล้าน

Date Time: 24 ก.ค. 2567 15:01 น.

Video

3 มาตรการใหม่ ตลาดหลักทรัพย์ฯ คุมหุ้นร้อนผิดปกติ | Money Issue

Summary

  • ส่องกลยุทธ์ Love Potion ภายใต้การขับเคลื่อนทัพของ “ซ้อการ์ด-ซุง” ที่ใช้ Storytelling เล่าเรื่อง จนกลายเป็นแบรนด์เลิฟของใครหลายๆ คน ล่าสุดดึงพี่กร พ่อค้าไม้กวาด นั่งแท่นพรีเซนเตอร์แบรนด์น้ำหอม สะท้อนแค่คนธรรมดาก็ปังได้

Latest


หากใครไถฟีด TikTok ดูคอนเทนต์บ่อยๆ ก็คงจะเห็นหน้าค่าตาของ “ซ้อการ์ด” ณัฐชยานันท์ สุขวัฒนาพร อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง เจ้าของช่อง cardncyn ที่มีผู้ติดตามกว่า 9.8 ล้านคน อย่างแน่นอน โดยคอนเทนต์ที่ปัง และทำให้เธอกลายเป็นที่รู้จักนั่นก็คือ การเป็นตัวของตัวเอง แต่งตัวเซ็กซี่แล้วโดนเพื่อนด่า, วิธีบริหารเงินของซ้อการ์ด 

หรือแม้กระทั่งใครเป่ายิงฉุบ ชนะก้าด จ่ายหนี้ให้, การตามจีบ “ซุง ศตาวิน” ด้วยการเป็นสายป๋า ทุ่มหมดใจเพื่อคนรัก รวมทั้งขายของแบรนด์เนมในราคา 5 บาท 10 บาท ที่แสนจะถูก! จนกลายเป็นไวรัลทั่วทั้งโซเชียลมีเดีย โดยแต่ละคลิปที่เธอทำนั้นล้วนมียอดวิวหลักล้านทั้งสิ้น

ทั้งนี้ “ซ้อการ์ด” ไม่ใช่แค่อินฟลูเอนเซอร์ธรรมดาๆ ทั่วไป แต่มีดีกรีเป็นถึง CEO Love Potion (เลิฟโพชั่น) แบรนด์สกินแคร์และเมกอัพที่กำลังมาแรงบนโลกออนไลน์ ซึ่งเกิดขึ้นจากความต้องการที่จะหาเงินเพื่อช่วยเหลือครอบครัวของตัวเอง โดยที่ไอเทมชิ้นแรกของ Love Potion คือ “Grape Soap” สบู่ทำความสะอาดใบหน้า แต่ปัจจุบันมีสินค้าหลากหลายประเภท ทั้งเซรั่ม ลิป ครีมกันแดด ไปจนถึงน้ำหอม จนทำให้ยอดขายพุ่งทะลุกว่า 3 หมื่นออเดอร์ มูลค่ากว่า 10 ล้านบาท ใน 1 วันมาแล้วก็มี 

ส่องรายได้และกำไรใน 5 ปีย้อนหลังของ Love Potion จะมีดังนี้

  • ปี 2563 รายได้รวม 7.5 ล้านบาท กำไร 4,795 บาท
  • ปี 2564 รายได้รวม 12 ล้านบาท กำไร 1 ล้านบาท
  • ปี 2565 รายได้รวม 55 ล้านบาท กำไร 14 ล้านบาท
  • ปี 2566 รายได้รวม 154 ล้านบาท กำไร 34 ล้านบาท

โดยความสำเร็จของการปั้นแบรนด์มาจากการสร้าง “Storytelling” โดยนำเอา Personal Branding ที่ชูตัวเองเป็นจุดขาย รวมทั้งการนำเสนอ Brand Story เรื่องราวที่เป็นแรงบันดาลใจ หรือชีวิตของคนคนหนึ่งที่กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ต้องผ่านอะไรมาบ้าง ซึ่งเปรียบเสมือนก้าวแรกที่จะทำให้ผู้คน “รู้สึก” เชื่อมโยงกับแบรนด์ จนเกิดความรู้สึกร่วมไปกับแบรนด์นั้นๆ 

รวมทั้งการมานั่งไลฟ์พูดคุยเรื่อยๆ ร่วมกับคนดู การไปทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกับคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น วาดอะไรก็ได้เดี๋ยวพาไปซื้อ ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถสร้าง Relationship กับลูกค้าและคนดูได้ด้วย พร้อมกับใช้ผลิตภัณฑ์ไปในตัว โดยที่ไม่รู้สึกว่ากำลังโฆษณา

ล่าสุด “ซ้อการ์ด” และ “ซุง” ได้สร้างไวรัลบนโลกออนไลน์อีกครั้งกับการดึง “พี่กร” พ่อค้าไม้กวาดสู่พรีเซนเตอร์น้ำหอม ไลฟ์ขายของหมดใน 11 วินาที ซึ่งรายได้จากขายทั้งหมดทาง ซุง และ ซ้อการ์ด ได้ยกให้พี่กรทั้งหมดอีกด้วย และในวันที่ 3 สิงหาคม พี่กรก็จะมาในบทบาทใหม่นั่นก็คือ นักไลฟ์สดของแบรนด์

ทั้งนี้หากเล่าย้อนเท้าความกลับไป เริ่มแรกซุง ได้ไปพบเจอพี่กรขณะที่กำลังปั่นจักรยานขายไม้กวาด แล้วชักชวนมาทำอาชีพเสริมจนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็น “พรีเซนเตอร์” แบรนด์คนแรกที่เป็นคนธรรมดานั่นเอง 

แต่ทว่ากลับมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์การเป็นพรีเซนเตอร์ของพี่กร พร้อมกับมีการตั้งคำถามว่าเหตุใดทางแบรนด์จึงไม่ใช้คนดังมาเป็นพรีเซนเตอร์ แต่กลับใช้คนธรรมดา โดยทาง "ซุง ศตาวิน" ก็ได้โพสต์ข้อความถึงประเด็นนี้ว่า "อย่ามาบอกว่าพี่กรไม่เหมาะสม ไม่น่าเชื่อถือเท่าดารา ความจริงใจของคนมันดูออกทาง สายตา น้ำเสียง ภาษากาย ไม่ใช่ ชื่อเสียง ยอดติดตาม หรือค่าตัว….." (อ่านข้อความฉบับเต็มได้ที่นี่)

ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่าแม้ไม่ใช่ “คนดัง” แต่ก็สามารถสร้างอิมแพคได้ หากมีเรื่องราวที่น่าสนใจ และการทำการตลาดที่ดี เหมือนกับกลยุทธ์ในครั้งนี้ที่ Love Potion เล่น นั่นคือ การหยิบยก “Heart Marketing” การตลาดที่เล่นกับใจคน ความเห็นอกเห็นใจ จนทำให้ลูกค้าเกิดอารมณ์ร่วมที่อยากจะซื้อ อยากจะมีส่วนร่วม จนอาจกลายมาเป็นสาวกของแบรนด์ สินค้า หรือบริการ 

แคมเปญนี้ถือได้ว่ามีความน่าสนใจตรงที่สามารถดึงเอา “ความรู้สึก” ของคนหมู่มากมาเล่นได้ พร้อมกับการบอกจุดยืนความปกติธรรมดา “ที่ไม่ธรรมดา” ซึ่งตรงกับอินไซต์ของคนรุ่นใหม่ในปัจจุบันที่โหยหาความจริงใจ ความเรียบง่าย และอะไรที่แปลกใหม่ สอดคล้องกับนิยามของพรีเซนเตอร์ของ บริษัทซุง และการ์ด พอดิบพอดีที่มองว่าบริษัทไม่จำเป็นต้องเป็นคนดัง มีผู้คนติดตามเยอะเสมอไป แต่ต้องจริงใจ ใช้จริง และเหมาะสมกับ concept สินค้านั้นๆ 

ซึ่งการเอางบประมาณที่จะต้องจ่ายค่าตัวพรีเซนเตอร์เป็นแสนๆ ล้านๆ ไปกระจายรายได้สู่หลายๆ คน ไปลดราคาของให้ถูกลง ผลประโยชน์ทั้งหมดก็ยิ่งตกสู่ผู้บริโภคมากขึ้น ได้ของที่คุ้มค่าคุ้มราคามากขึ้นนั่นเอง.  

ติดตามข่าวสารด้านการตลาด กับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/business_marketing 

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ