เราต่างก็ใฝ่ฝันที่จะมีแฟน คู่ครอง มีครอบครัว และลูกพร้อมหน้าพร้อมตา ซึ่งนับเป็นจุดหมายปลายทาง หรือความฝันของชีวิตคู่ ที่หลายๆ คนต่างพูดถึงกันในอดีต แต่ในยุคสมัยนี้ภาพเหล่านั้นอาจเปลี่ยนไปแล้ว โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่หรือ คน Gen Y ที่มีอายุระหว่าง 21-37 ปี พบว่ามีค่านิยมในการใช้ชีวิตคู่ท่ีเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นการครองตัวเป็นโสด อยู่กินด้วยกันโดยไม่สมรสและไม่มีลูก ซึ่งมีแนวโน้มสูงข้ึนอย่างรวดเร็ว
นั่นก็เพราะปัจจัยสําคัญอีกปัจจัยหนึ่งที่ทําให้ “คนไทยไม่อยากมีลูก” คือเรื่องของ สภาพเศรษฐกิจที่ถดถอย ค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้น รายรับไม่สอดคล้องกับรายจ่าย ยิ่งในยุคเศรษฐกิจแบบนี้ พวกเขาจึงมองว่า “เลี้ยงตัวเองก็ยากแล้ว” จึงไม่สามารถเลี้ยงดูเด็กได้อย่างมีคุณภาพ
กลายเป็นจุดชนวนทางความคิดที่เปลี่ยนค่านิยมของคนรุ่นใหม่ให้ตัดสินใจไม่อยากมีลูก เนื่องจากกังวลเรื่องรายได้ ค่าใช้จ่าย และหน้ีสิน เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงลูก 1 คนมากถึง 500,000-2,000,000 บาท/คน ซึ่งขึ้นอยู่กับความพร้อมของแต่ละครอบครัว สะท้อนให้เห็นว่าการมีลูก 1 คนมีค่าใช้จ่ายที่สูงมากๆ
แต่รู้หรือไม่ว่า? แม้ปัจจุบันอัตราการเกิดจะลดลง รวมถึงแนวโน้มคู่สามีภรรยายุคใหม่ไม่อยากมีลูกเพิ่มสูงขึ้นมากเท่าไร แต่สำหรับคู่ที่ต้องการจะมีลูกแล้ว พวกเราก็ย่อมทุ่มเทมากขึ้นเท่านั้น ทั้งการบำรุงและเตรียมตัวเป็นอย่างดีตั้งแต่เริ่มวางแผนจะมีลูก และนั่นเองจึงสวนทางกับตลาดสินค้าบำรุงเพื่อความพร้อมในการตั้งครรภ์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง
วริษา เนื้อนุ้ย บาร์โรด์ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Mommy Booster (มัมมี่บูสเตอร์) เล่าเรื่องขยายความต่อให้ฟังว่า การที่จะมีลูก 1 คน แน่นอนว่าพ่อแม่ย่อมยอมจ่าย เพื่อสิ่งที่ดีที่สุด ทำให้เทรนด์ตลาดแม่และเด็กเป็นขาขึ้นสวนเทรนด์โลกที่เด็กเกิดน้อยลง ตอนนี้มูลค่าตลาดอยู่ที่ 43,000 ล้านบาท ส่วนมูลค่าตลาดเครื่องดื่มเตรียมตั้งครรภ์และบำรุงน้ำนมจะอยู่ที่ 250 ล้านบาท ปี 67 เติบโตประมาณ 10% ซึ่งค่อนข้างเฉพาะ โดยเป็นกลุ่มคุณแม่ที่ไม่อยากทานอาหารเสริม และเป็นออร์แกนิก แม้ว่าตลาดจะไม่ได้ใหญ่มาก แต่ก็เติบโตต่อเนื่องทุกปี
ซึ่งมัมมี่บูสเตอร์ถือเป็นแบรนด์เครื่องดื่มบำรุงสุขภาพ ตั้งแต่เริ่มแรกนั่นคือ เตรียมความพร้อมตั้งครรภ์ หรือแม้กระทั่งคุณแม่ที่ต้องการบำรุงครรภ์ และเตรียมน้ำนมเพื่อให้นมบุตร
โดยจากการวิเคราะห์ยอดขายของมัมมี่บูสเตอร์พบว่า ในปีที่ผ่านมายอดขายอยู่ที่ 60-70 ล้านบาท เติบโตประมาณ 15% ส่วนในไตรมาสแรกของปี 2567 เติบโตขึ้นถึง 27% เมื่อเทียบกับไตรมาสสุดท้ายของปี 2566 โดยเฉพาะในหมวดเครื่องดื่มบำรุงเตรียมความพร้อมสำหรับตั้งครรภ์ ซึ่งจากการสำรวจยอดขายออนไลน์ บนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซและงบสรุปประจำปี 2566 มัมมี่บูสเตอร์ครองสัดส่วนทางการตลาดสูงถึง 57% นับเป็นผู้นำอันดับ 1 ในตลาดนี้มา 3 ปีซ้อน ซึ่งคาดว่าภายในปี 2569 คาดว่าแบรนด์จะมียอดขายเพิ่มขึ้น 30% ครองส่วนแบ่งทางการตลาดสูงถึง 60%
โดยลูกค้าส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ 65% ที่มียอดการใช้จ่ายต่อหัวสูง และอีก 35% อยู่ต่างจังหวัด ทั้งนี้ลูกค้าจะมีอายุระหว่าง 27-47 ปี แต่ลูกค้ากลุ่มหลักจะอายุระหว่าง 30-35 ปี โดยเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ หรือ B+ รวมทั้งลูกค้าส่วนใหญ่จะมีการซื้อต่อเนื่องอยู่กับแบรนด์ประมาณ 1 ปีครึ่ง ตั้งแต่เตรียมตั้งครรภ์ จนกระทั่งคลอด และให้นมบุตร แม้ว่าการซื้อต่อบิลจะไม่สูงมากนักประมาณ 2,500-3,000 บาท แต่มีการซื้อซ้ำอย่างต่อเนื่องทุก 4 เดือน
ปัจจุบันมัมมี่บูสเตอร์มีสินค้าอยู่ในพอร์ตประมาณ 14 Skus โดยสินค้าขายดี 3 อันดับแรกคือ น้ำมะกรูดอินทผลัม น้ำหัวปลี และโกโก้เสริมโฟลิค ผ่านช่องทางการขายออนไลน์ทุกช่องทาง ส่วนออฟไลน์คือร้านขายยาทุกสาขา ร้านสินค้ากลุ่มแม่และเด็ก, เซเว่น-อีเลฟเว่น, ซีเจมาร์ท, งาน BBB และส่งออกไปยังต่างประเทศไม่ว่าจะเป็น กัมพูชา ลาวด้วยเช่นกัน ทำให้ฐานลูกค้าปัจจุบันอยู่ที่ 200,000 ราย
วริษา กล่าวต่อไปว่า แผนดำเนินการถัดไปในระยะสั้น 1-2 ปีจะมีการขยายช่องทางการจำหน่ายให้เต็มสูบ พร้อมทั้งแตกไลน์การผลิตสินค้าไปสู่รูปแบบอื่นๆ แต่จะเน้นเรื่องอาหารเป็นหลัก อาทิ บิวติดริ้งค์ ขณะที่ในระยะ 3-5 ปีจะมีการขยายไปสู่กลุ่มเด็กๆ เพิ่มขึ้น
ทำให้ล่าสุดมัมมี่บูสเตอร์ได้แตกไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่นั่นคือ Mommy Booster Plant-based Protein 3X ซึ่งเป็นการต่อยอดจากกลุ่มผลิตภัณฑ์เตรียมตั้งครรภ์ที่ช่วยในการบำรุงรังไข่ ผนังมดลูก บรรเทาภาวะ PCOS และเป็นโปรตีนผิวสวย ตอบโจทย์คนรักสุขภาพและบรรดาคุณแม่ พร้อมกับดึง “ICEPADIE” อินฟลูเอนเซอร์คุณแม่ชื่อดังมาเป็น Friend of Mommy Booster คนแรกของแบรนด์เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าให้มากขึ้น
ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่าแม้คนไทยไม่ต้องการมีลูกยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลระยะยาวต่อสภาพเศรษฐกิจ ที่มีแนวโน้มชะลอตัว เพราะด้วยคนวัยทำงานลดลงจนไม่เพียงพอ และประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย นั่นอาจเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้อัตราการเติบโตของ GDP ไทยลดลงด้วยเช่นกัน จนต้องไปพึ่งพาแรงงานข้ามชาติมากขึ้น
แต่ตลาดแม่และเด็กยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องเพราะ “พ่อและแม่” ยังคงต้องการสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกและหลาน จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าเม็ดเงินในกลุ่มนี้มีอัตราที่สูงพอตัว เนื่องจากยอมที่จะจ่ายหากสินค้านั่นมีคุณภาพ ดังนั้นตรงจุดนี้เองหากมีการสนับสนุนและสร้างแรงจูงใจ ให้คนหันมามีลูกมากขึ้น ก็จะสามารถลดปัญหาเด็กเกิดน้อยด้อยคุณภาพ ส่งผลดีทั้งระบบเศรษฐกิจ และตลาดกลุ่มนี้ด้วยเช่นกัน
อ้างอิง สำนักงานสถิติแห่งชาติ
ติดตามข่าวสารด้านการตลาด กับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/business_marketing
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney