ตลาดความสวยความงามยังคงมาแรง เห็นได้จากการที่ “วัตสัน” ผู้นำร้านเพื่อสุขภาพและความงาม ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2539 ตั้งเป้าเปิดสาขาใหม่เพิ่มในปี 2567 อีก 50 สาขา จากเดิมที่มีอยู่ 700 สาขาทั่วประเทศไทย
สะท้อนให้เห็นว่าแม้เศรษฐกิจจะยังคงชะลอตัว เงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น กำลังซื้อคนหดหาย แต่ถ้าหากเป็นสินค้าที่สามารถทำให้ตัวเองดูดีได้ คนก็ยอมที่จะ “ควักเงินจ่าย” นั่นจึงทำให้ภาพรวมตลาดความงามและผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกาย มีมูลค่าสูงถึง 2.85 แสนล้านบาท หรือเติบโต 12%
พสิษฐ์ มั่นคงขันติวงศ์ กรรมการผู้จัดการ วัตสัน ประเทศไทย กล่าวว่า วัตสัน ประเทศไทย เน้นการขยายการเติบโต ควบคู่ไปกับการส่งเสริมด้านความยั่งยืน โดยในปี 2567 ตั้งเป้าเปิดสาขาใหม่รวม 50 สาขา โดยเปิดเฉลี่ยปีละ 50 สาขาทุกปีอยู่แล้ว ซึ่งจะแบ่งเป็น Stand Alone ประมาณ 10 สาขา แต่จะเกิดขึ้นได้ขึ้นอยู่กับความพร้อมของทำเลที่ตั้ง ทั้งความหนาแน่นของประชากร รายได้ประชากร เจรจาได้ รวมทั้งการพัฒนาร้านที่มีอยู่เดิมกว่า 700 สาขา และรีโนเวตอีก 80 สาขา ซึ่งทางด้านงบลงทุนจะมีการเพิ่มขึ้นทุกปี ขณะที่สัดส่วนสินค้าประมาณ 5,000 รายการ สินค้าด้าน Sustain ประมาณ 1,400 รายการ
“ในปี 2566 ที่ผ่านมา “วัตสัน” เติบโตดีกว่ารีเทลในประเทศไทย โดยอยู่ที่สองดิจิต ส่วนปี 67 เราตั้งเป้าที่จะเติบโตเท่าเดิม ซึ่งในไตรมาสที่ 1 ที่ผ่านมา เติบโตได้ตามเป้าหมาย ส่วนเรื่องสัดส่วนของกลยุทธ์การช็อปปิ้งออนไลน์และออฟไลน์ หรือ O+O ถือได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างดี โดยเฉพาะในปัจจุบัน วัตสัน มีสมาชิกวัตสันคลับมากกว่า 9 ล้านคน ที่ได้รับสิทธิพิเศษผ่าน “โปรโมเชื่อม” ซึ่งออกแบบมาเพื่อเชื่อมต่อการช็อปปิ้งออนไลน์และออฟไลน์สำหรับสมาชิก”
ด้าน นวลพรรณ ชัยนาม ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ วัตสัน ประเทศไทย เปิดเผยว่า ยอดการใช้จ่ายในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่ากำลังซื้อต่อหัวต่อบิลยังคงอยู่ในสัดส่วนที่สูงขึ้น ด้วยปัจจัยหลักคือ วัตสันเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน Derma Skin Care และสินค้าเพื่อสุขภาพต่างๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ค่อนข้างจะกระทบกับกำลังซื้อของคนน้อย เนื่องจากผู้บริโภคยอมที่จะจ่าย อีกทั้งในเรื่องของคอสเมติกก็พบว่ามียอดเติบโตอย่างต่อเนื่อง และดูเหมือนกับว่าจะเป็นเซกเมนต์ที่เติบโตสูงที่สุด
ขณะเดียวกันในส่วนของโปรโมชันเรือธง คงหนีไม่พ้น “ชิ้นที่สอง 1 บาท” ที่สามารถกระตุ้นยอดขายได้ดีมาตลอด โดยในแต่ละปีจะมีการจัดทำโปรโมชันนี้ประมาณ 2 ครั้งต่อปี คือในเดือนกุมภาพันธ์ และเดือนกันยายน
ซึ่งจากผลการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคของวัตสัน ประเทศไทย ในปี 2566 ที่มีผู้เข้าร่วมประมาณ 3,000 คน พบว่าโปรโมชันที่น่าสนใจและราคาที่คุ้มค่ายังเป็นสองปัจจัยหลักที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญเมื่อเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม ทำให้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หลายๆ แบรนด์จึงนำเสนอโปรโมชันต่างๆ เพื่อดึงดูดผู้บริโภคเพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมค้าปลีกเพื่อสุขภาพและความงาม
นวลพรรณ กล่าวต่อไปว่า หากมองในแง่ของเทรนด์ผู้บริโภคในปัจจุบัน พบว่า Gen Z Y ค่อนข้างให้ความสนใจสินค้าที่เกี่ยวกับการรักษ์โลก โดยไม่สนว่าจะถูกหรือจะแพง ดังนั้นเพื่อสอดรับกับเทรนด์ดังกล่าว วัตสัน จึงได้เดินหน้าส่งเสริม Greener Store ซึ่งเป็นรูปแบบร้านค้าเพื่อความยั่งยืน ที่ได้ทดลองเริ่มปฏิบัติการจริงไปแล้วที่สาขาสยามสแควร์ ซึ่งมีการลงทุนมากกว่าปกติประมาณ 20% หรือแม้กระทั่งการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคา
“เนื่องจาก วัตสัน ส่วนใหญ่ 95% จะอยู่ในห้างสรรพสินค้า หรือคอมมูนิตี้มอลล์ ดังนั้นการจะทำให้เป็น Green Store ทุกสาขาจึงมีจำกัด แต่กระนั้นหากทำได้เฉพาะ Stand alone จะสามารถลดสัดส่วนการใช้พลังงานได้มากถึง 25%” ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ นั่นคือการลดใช้ไฟฟ้าลง 30% ภายในปี 2573 หรือแม้กระทั่งการดำเนินงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อาทิ การเพิ่มสัดส่วนของแพ็กเกจจิ้งในร้าน ที่สามารถรีไซเคิลให้ได้ 30%”
นอกจากนี้ วัตสัน ประเทศไทย ได้นำรถบรรทุกและรถปิกอัพไฟฟ้า มาใช้สำหรับการจัดส่งสินค้า ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้
ติดตามข่าวสารด้านการตลาด กับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/business_marketing
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney