เลี้ยงสัตว์เหมือนลูก! “คนไทย” เปย์หนัก 1-2 หมื่นบาทต่อปี ทาสแมวจ่ายเยอะสุด พร้อมทุ่มเพื่อ “มัมเหมียว”

Business & Marketing

Marketing

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

เลี้ยงสัตว์เหมือนลูก! “คนไทย” เปย์หนัก 1-2 หมื่นบาทต่อปี ทาสแมวจ่ายเยอะสุด พร้อมทุ่มเพื่อ “มัมเหมียว”

Date Time: 12 มี.ค. 2567 17:14 น.

Video

3 มาตรการใหม่ ตลาดหลักทรัพย์ฯ คุมหุ้นร้อนผิดปกติ | Money Issue

Summary

  • คนไทยยุคใหม่เป็น Pet Parent ‘เลี้ยงสัตว์เหมือนลูก’ ส่วนใหญ่มักมีฐานะ พบทาสแมวจ่ายหนักกว่า 2 เท่า! ส่วนใหญ่เปย์สัตว์ 1-2 หมื่นบาทต่อปี Gen Z เลี้ยงสุนัขมากสุด ส่วน Gen Y ชื่นชอบแมว ขาขึ้นธุรกิจสินค้าและบริการเพื่อสุขภาพสัตว์เลี้ยง ตอบโจทย์ทาสสายเปย์

Latest


จากข้อมูล The 1 Insight และ CRC VoiceShare เจาะลึกเทรนด์ Pet Parent ในไทยล่าสุด 2567 พบภาพรวมตัวเลขการเลี้ยงสัตว์ในบ้านมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตั้งแต่ยุคหลังโควิดเป็นต้นมา สวนทางกับอัตราการเกิดของประชากรไทยที่ลดลงในทุกๆ ปี เผยยอดขายผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยงมีการเติบโตเลข 2 หลักต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563 ล่าสุดเติบโต 14% ในปี 2566 

ผู้เลี้ยงสัตว์มักมีฐานะ 

บ่งชี้ว่าผู้เลี้ยงสัตว์ในบ้านมักมีแนวโน้มที่จะมีฐานะและเป็นกลุ่มลูกค้ามูลค่าสูง โดย 65% เป็นกลุ่ม Pet Parent ที่มีพฤติกรรมเลี้ยงสัตว์เหมือนลูก มีค่าใช้จ่ายรายเดือนต่อสัตว์เลี้ยงแต่ละตัวเฉลี่ยถึง 1-2 หมื่นบาทต่อปี Gen Y ขึ้นแท่นทาสแมวอันดับ 1 ส่วน Gen Z ใช้จ่ายกับผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยงเติบโตสูงสุด 46% อีกทั้งยังเผยเทรนด์ธุรกิจเพื่อสุขภาพสัตว์เลี้ยงที่กำลังมาแรง อาทิ อาหารสัตว์เกรดโฮลิสติก และ Pet Wellness Center บริการดูแลและรักษาสัตว์เลี้ยงแบบครบวงจร

เมื่อพิจารณาในรายละเอียดของพฤติกรรมการใช้จ่าย พบว่า ตัวเลขยอดขายผลิตภัณฑ์สำหรับแมวนั้นคิดเป็น 63% ของยอดขายผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์ทั้งหมด ทั้ง อาหารและขนมสำหรับแมว ทรายแมว และห้องน้ำแมว

นอกจากนี้ยังพบแนวโน้มการขยายตัวของจำนวนผู้เลี้ยงสัตว์ Exotic อาทิ ปลา กระต่าย และนก ด้วยเช่นกัน สะท้อนผ่านตัวเลขการใช้จ่ายผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยง Exotic ที่เติบโตสูงกว่า 50% ในขณะที่ยอดขายผลิตภัณฑ์สำหรับแมวเติบโตอยู่ที่ 8% ยอดขายผลิตภัณฑ์สำหรับสุนัขเติบโตอยู่ที่ 6%  

อาหารสัตว์เกรดโฮลิสติก ดีต่อสุขภาพ ยอดขายโตกว่า 20 เท่า

ในส่วนของแบรนด์ที่มียอดขายสูงสุดยังคงเป็นกลุ่มแบรนด์ยอดนิยม ได้แก่ วิสกัส เพดดิกรี สมาร์ทฮาร์ท สมาร์ทเตอร์ และมีโอ ในขณะเดียวกัน ด้วยเทรนด์ Pet Parent ที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ผู้เลี้ยงสัตว์บางกลุ่มเริ่มให้ความสำคัญและลงทุนกับ ‘อาหารสัตว์เกรดโฮลิสติก’ ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพของสัตว์เลี้ยงในระยะยาว แบรนด์ในกลุ่มนี้จึงมียอดขายเติบโตกว่า 20 เท่าในช่วงปี 2566 ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นโอริเจน คานาแกน โยรา แฮปปี้ ด็อก นูเทรียนซ์ เป็นต้น 

โดยแบรนด์เหล่านี้มักพบได้ใน ‘ร้านขายของสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ’ อาทิเช่น เพ็ทแอนด์มี (Pet’n Me) ซึ่งมีการเติบโตอย่างโดดเด่นในปี 2566 ในขณะที่ยอดขายสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยงในซุปเปอร์มาร์เก็ตทั่วไปและช่องทางอีคอมเมิร์ซต่างๆ ยังคงมีการเติบโตคงที่

จากผลสำรวจพฤติกรรมการเลี้ยงสัตว์ในบ้านโดย CRC VoiceShare ชี้ว่าคนไทยส่วนใหญ่ 65% เลี้ยงสัตว์เหมือนลูกหรือสมาชิกในครอบครัว หรือที่เรียกว่า Pet Parent ในขณะที่ 33% เลี้ยงสัตว์เป็นเพื่อนคลายเหงา และ 2% เลี้ยงสัตว์เพื่อการบำบัดเยียวยาจิตใจ 

คนส่วนใหญ่ชอบเลี้ยงสุนัข-แมว ด้าน Baby Boomer ไม่ชอบเลี้ยงอะไร

นอกจากนี้ อันดับสัตว์เลี้ยงยอดนิยมยังคงเป็นไปตามคาด โดย 63% เลือกเลี้ยงสุนัข 49% เลือกเลี้ยงแมว 12% เลือกเลี้ยงสัตว์ Exotic โดยสัตว์เลี้ยง Exotic ที่เป็นที่นิยม 3 อันดับแรก ได้แก่ ปลา กระต่าย และนก นอกจากนั้น ยังพบว่าผู้เลี้ยงในไทยยังคงได้สัตว์เลี้ยงมาจากการซื้อจากร้านหรือฟาร์ม 

ยกเว้นเหล่าทาสแมว ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึง 50% ที่ได้สัตว์เลี้ยงมาจากการรับอุปการะแมวจรจัด การเปลี่ยนแปลงนี้สอดคล้องกับเทรนด์ “Adopt, Don’t Shop” ซึ่งเป็นแคมเปญระดับโลกที่ทั้งองค์กรและคนดังต่างร่วมกันรณรงค์ให้คน ‘รับเลี้ยง’ สัตว์จรจัดมากกว่าการ ‘ซื้อ’ จากฟาร์ม

ทั้งนี้ยังพบว่า Gen Z เลี้ยงสุนัขมากที่สุด มีการใช้จ่ายเติบโตสูงสุดจากทุกช่วงวัยถึง 46% ส่วน Gen Y มีสัดส่วนผู้เลี้ยงแมวสูงสุดจากสัตว์ทุกชนิด เนื่องจากใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบและนิยมในการอาศัยอยู่คอนโดฯ Gen X เลี้ยงปลาและนกสูงสุดจากสัตว์เลี้ยงทุกชนิด และ Baby Boomer เป็นกลุ่มที่เลี้ยงสัตว์น้อยที่สุดจากทุกช่วงวัย

อาบน้ำ-ตัดขน-สปา บริการรับฝากเลี้ยง นิยมสุด

นอกจากนี้ ผู้เลี้ยงสัตว์ในปัจจุบันยังใช้จ่ายกับ ‘บริการ’ เพื่อสัตว์เลี้ยงต่างๆ ในทุกเดือน โดยบริการที่ได้รับความนิยมสูงสุด 3 อันดับได้แก่ บริการอาบน้ำ-ตัดขน-สปา บริการรับฝากเลี้ยง บริการสระว่ายน้ำและสถานที่ออกกำลังกาย พร้อมทั้งยังเผยว่า กว่า 65% ของผู้เลี้ยงสัตว์ต้องการใช้บริการ ‘Pet Wellness Center’ หรือบริการดูแลและรักษาสัตว์เลี้ยงแบบครบวงจร 

นอกจากนี้ยังมีผู้เลี้ยง 40% ที่ต้องการให้มี ‘คลินิกเฉพาะทาง’ มากขึ้น และ 27% ที่ต้องการให้มี ‘Pet Park สถานที่ออกกำลังกาย’ มากขึ้น โดยที่บริการเหล่านี้ยังไม่แพร่หลายในประเทศไทยมากนัก เมื่อประกอบกับเทรนด์ Pet Parent ที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงเห็นได้ชัดว่าธุรกิจสินค้าและบริการเพื่อสุขภาพของสัตว์เลี้ยงนับว่าเป็นโอกาสทางธุรกิจที่น่าสนใจทีเดียว

ติดตามข้อมูลข่าวสารด้านการตลาด กับ Thairath Money ได้ที่ 
https://www.thairath.co.th/money/business_marketing

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ