นายปริติ เกียรติศรีชาติ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท นอติลุสฟู้ด เปิดเผยว่า บริษัท นอติลุสฟู้ด ภายใต้การบริหารงานของ กลุ่มบริษัท พัทยาฟู้ด (PFG Pataya Food Group) ผู้นำตลาดธุรกิจอุตสาหกรรมอาหารทะเล โดยทำการตลาดและจำหน่ายสินค้าอาหารทะเลบรรจุกระป๋อง ภายใต้ตรา “นอติลุส” ซึ่งปัจจุบันทำการตลาดสินค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศทั่วโลก ทั้งหมด 4 สาขา ใน 4 ประเทศ คือ ประเทศไทย จีน เวียดนาม และฝรั่งเศส
ในปี 2566 นี้ บริษัทมีแผนมุ่งเน้นการพัฒนาและออกผลิตภัณฑ์ใหม่สู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองกับพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ภายใต้ความท้าทายของเศรษฐกิจโลก และการปรับตัวขึ้นของราคาวัตถุดิบ โดยบริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาพัฒนาผลิตภัณฑ์อื่นๆ นอกเหนือจากกลุ่มอาหารทะเล ซึ่งจะเป็นการขยายพอร์ตโฟลิโอเพื่อเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ เพื่อสร้างรายได้ให้เติบโตได้ในระยะยาว และลดข้อจำกัดของกลุ่มทูน่าด้านการเพิ่มจำนวนคู่ค้า (Suplier) โดยเน้นไปยังสินค้ากลุ่มพรีเมียมมากขึ้น
ล่าสุด บริษัทเปิดตัวอาหารพร้อมทาน ภายใต้แบรนด์ “มงกุฎทะเล” โดยร่วมลงทุนกับ น้ำปลาร้าแซ่บไมค์ ของ คุณไมค์ ภิรมย์พร ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างบริษัทที่เป็นผู้นำตลาดปลากระป๋องและแซ่บไมค์ ซึ่งเป็นน้ำปลาร้าอันดับต้นๆ ของไทย เพื่อตอบสนองพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค และเจาะฐานลูกค้าใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่ปัจจุบันนิยมบริโภคอาหารที่มีรสชาติแบบไทยๆ เช่น ส้มตำใส่ปลาร้ากันอย่างแพร่หลาย โดยบริษัทเปิดตัวสินค้าใหม่ 2 รายการ ในงาน Thaifex 2023 ได้แก่ 1. น้ำยากะทิปลาแมกเคอเรลสูตรน้ำปลาร้า และ 2. ปลาแมกเคอเรลทอดในน้ำยำรสปลาร้า
โดยความร่วมมือการทำผลิตภัณฑ์ในครั้งนี้ เกิดขึ้นจากทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์ของทั้งสองบริษัทที่มีดีเอ็นเอตรงกัน มุ่งเน้นการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์รสชาติสไตล์ไทยที่มีเอกลักษณ์ความอร่อย จากวัตถุดิบที่มีคุณภาพของมงกุฎทะเล และรสชาติแซ่บนัวจากน้ำปลาร้าแบรนด์แซ่บไมค์
นอกจากนี้ ยังมีการขยายสินค้าใหม่ไปยังกลุ่มพรีเมียมมากขึ้น ภายใต้แบรนด์ “นอติลุส” ในธุรกิจปลากระป๋องในซอสมะเขือเทศ ด้วยผลิตภัณฑ์ “ปลาแมกเคอเรลในซอสมะเขือเทศ” ที่ผลิตจากปลาสายพันธุ์แปซิฟิก ไม่ใส่ผงชูรสด้วย
นายปริติ กล่าวอีกว่า บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตของยอดขายไว้ราว 15% จากปีก่อนที่ทำได้ราว 8,000 ล้านบาท มีสัดส่วนยอดขายในประเทศอยู่ราว 20% ส่วนที่เหลือเป็นยอดขายจากการส่งออกต่างประเทศ ปัจจุบันใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 70-80% ของกำลังการผลิตทั้งหมด โดยเชื่อว่าจะสามารถเติบโตได้อีก จากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกครึ่งหลังของปีจะสามารถฟื้นตัวได้
ขณะที่เชื่อว่ายอดคำสั่งซื้อจากสหรัฐฯ จะมีการฟื้นตัว และมีความสามารถในการขยายตัวได้ ซึ่งปัจจุบันเป็นประเทศที่มียอดขายการส่งออกของบริษัทมากที่สุด และมีความต้องการบริโภค (ดีมานด์) ค่อนข้างสูง โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ทำจากปลาซาดีน มีอัตราการเติบโตดี แต่ยังต้องติดตามประเด็นเรื่องค่าเงิน และแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจด้วย อย่างไรก็ตาม บริษัทมีความสนใจขยายฐานลูกค้าในต่างประเทศเพิ่มเติม โดยเฉพาะประเทศในตะวันออกกลาง เนื่องจากมองเห็นศักยภาพการเติบโตได้
อย่างไรก็ดี บริษัทวางงบสำหรับการตลาดไว้ที่ราว 10% ของยอดขาย หรือประมาณ 100 ล้านบาท โดยเน้นไปยังการเจาะกลุ่มตลาดใหม่ๆ มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ จากปัจจุบันเทรนด์ของผู้บริโภคในการรับสื่อออนไลน์มีมากขึ้น โดยเฉพาะแพลตฟอร์ม TikTok.