PTG เตรียมดัน "กาแฟพันธุ์ไทย" เข้าตลาดหุ้นปี 68 วางโรดแม็ปดันทุกธุรกิจเติบโต

Business & Marketing

Marketing

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

PTG เตรียมดัน "กาแฟพันธุ์ไทย" เข้าตลาดหุ้นปี 68 วางโรดแม็ปดันทุกธุรกิจเติบโต

Date Time: 3 มี.ค. 2566 15:15 น.

Video

บิทคอยน์ VS เงินในกระเป๋าเกี่ยวกันยังไง ? | Digital Frontiers

Summary

  • พีทีจี เอ็นเนอยี เตรียมดันร้าน "กาแฟพันธุ์ไทย" เข้าตลาดหุ้นปี 2568 วางโรดแม็ป 5 ปีดันทุกธุรกิจเติบโต เผยปี 65 ยอดขายน้ำมันสูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 5,316 ล้านลิตร

Latest


พีทีจี เอ็นเนอยี เตรียมดันร้าน "กาแฟพันธุ์ไทย" เข้าตลาดหุ้นปี 2568 วางโรดแม็ป 5 ปีดันทุกธุรกิจเติบโต เผยปี 65 ยอดขายน้ำมันสูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 5,316 ล้านลิตร

เมื่อวันที่ 3 มี.ค. 66 นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG กล่าวว่า ในปี 65 ที่ผ่านมาธุรกิจน้ำมัน หรือ Oil ของบริษัทมีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านทุกช่องทางสูงเป็นประวัติการณ์คิดเป็น 5,316 ล้านลิตร เติบโต 5.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการเติบโตหลักๆ มาจากช่องทางการค้าปลีกผ่านสถานีบริการคิดเป็น 6.6%

ส่วนของธุรกิจ Non-Oil เราได้ร่วมมือกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ. เพื่อติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับรถยนต์อีวีภายในสถานีบริการน้ำมัน PT ภายใต้ชื่อ Elex by EGAT Max โดยสิ้นปี 65 เราติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าไปแล้ว 35 สถานี และมีแผนที่จะติดตั้งไปตามจุดสำคัญๆ ทั่วประเทศ

สำหรับร้านกาแฟพันธุ์ไทยที่เปิดตัวเมื่อปี 2555 นั้นก็เติบโตตามแผน ไม่ว่าจะเป็น ขยายร้านกาแฟผ่านรูปแบบแฟรนไชส์ทั้งภายในและภายนอกสถานีบริการน้ำมัน พร้อมเปิดตัวเครื่องดื่มใหม่ๆ ที่ใช้วัตถุดิบที่มีรสชาติและหาทานได้ยากจากทั่วประเทศไทย เน้นช่องทางการขายผ่านเดลิเวอรี รวมถึงเชื่อมโยงบัตรสมาชิก PT Max Card และ PT Max Card Plus มาเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคของลูกค้า เพื่อเพิ่มยอดขายและความถี่ของการเข้าใช้บริการร้านกาแฟพันธุ์ไทย

"9 ปีที่ผ่านมากาแฟพันธุ์ไทยขาดทุนมาตลอด แต่พอเข้าปีที่ 10 เรากำไรมากกว่าที่เคยขาดทุนแล้ว และยังเติบโตต่อไปได้อีก โดยในปี 68 นี้เราจะดันร้านกาแฟพันธุ์ไทยเข้าตลาดหุ้น"

นายพิทักษ์ กล่าวต่ออีกว่า ภายใน 5 ปีข้างหน้า บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายไว้ว่า จะมี Retail Oil Market Share กว่า 25% มีจำนวนสมาชิก Max Card กว่า 30 ล้านสมาชิก ซึ่งจะครอบคลุมคนไทยทั่วประเทศ และมีจำนวนสาขากาแฟพันธุ์ไทยกว่า 5,000 สาขา

พร้อมพัฒนาและมุ่งหาธุรกิจใหม่ๆ เพื่อใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศของ PTG สร้างประสบการณ์ O2O ที่ไร้รอยต่อ รวมถึงการใช้ Data เพื่อให้เกิด End-to-End Personalization ที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค โดยเรายังพร้อมยกระดับสถานีบริการน้ำมัน PT ใน 3 มิติ ได้แก่

1. Expansion and Renovation โดยเดินหน้าขยายสาขาทั้งหมดปีนี้สู่ 2,206 สาขา

2. Service Innovation โดยการยกระดับการให้บริการ ซึ่งบริษัทฯ จัดตั้ง PT Service Master ขึ้นมาเพื่อให้คำแนะนำลูกค้า อีกทั้งยังมี Max Camp ให้ลูกค้าได้เข้าพักผ่อนในระหว่างการเดินทาง โดยให้บริการฟรีสำหรับสมาชิก Max Card

3. Data Optimization โดยการรวบรวมความต้องการของกลุ่มลูกค้าต่างๆ

"เราจะยกระดับการให้บริการภายในสถานีบริการน้ำมัน PT โดยบริการรูปแบบใหม่ PT Service Master ที่พร้อมดูแล แนะนำลูกค้าให้ประทับใจได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุด เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้น และสามารถดูแลลูกค้าได้ทั่วประเทศ โดยทุกวันนี้มี 200 กว่าคน และเราจะเพิ่มเป็น 2,500 คน ภายใน 5 ปีข้างหน้า"

สำหรับ PT Max Camp เรามีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็นห้องอาบน้ำ เตียงนอน ทีวี เครื่องซักผ้า โดยลูกค้าที่เป็นสมาชิกสามารถใช้บริการได้ฟรี โดยจะเปิดบริการตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมติดตั้งกล้องวงจรปิด เพื่อความปลอดภัยอีกด้วย ซึ่งในปัจจุบันตั้งอยู่ใน 64 สถานี และจะขยายเป็น 141 สถานี ภายในปี 2570

ปัจจุบันเรามีฐานสมาชิก Max Card ทั้งสิ้น 19 ล้านสมาชิก ซึ่งคาดว่าเดือน เม.ย. 66 นี้ จะมีสมาชิกแตะ 20 ล้านคน โดยเราจะขยายฐานสมาชิกไปเป็น 30 ล้านสมาชิกในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งความสำคัญของ Max Card และ Max Card Plus คือเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า เพิ่มยอดขาย และเพิ่มความถี่ของการเข้ามาใช้บริการธุรกิจในเครือเพิ่มมากขึ้น

นอกจากนี้เรามีเครื่องมือ Max Me ที่เป็น Application และ e-Wallet ที่จะช่วยต่อยอดฐานสมาชิกในโลกออนไลน์ โดยภายในปีนี้คาดว่าลูกค้าจะสามารถชำระเงินผ่าน Max Me กับ Partner ของเรากว่า 1 ล้าน

ด้าน นายรังสรรค์ พวงปราง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในส่วนของจำนวนสถานีบริการน้ำมัน PT สิ้นปี 2565 ที่ผ่านมา อยู่ที่ 2,149 สถานี แบ่งเป็น สถานีบริการฯ ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทฯ หรือ COCO จำนวน 1,809 สถานี และสถานีบริการฯ ที่เป็นของผู้ประกอบการที่ได้รับสิทธิ์จากบริษัทฯ หรือ DODO จำนวน 340 สถานี

สำหรับจำนวนสาขาของธุรกิจ Non-Oil สิ้นปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 1,526 สาขา แบ่งเป็น

1. ร้านกาแฟพันธุ์ไทย จำนวน 511 สาขา โดย 5 ปีที่ผ่านมา (2560-2565) ยอดขาย CAGR 5 ปีเฉลี่ยสะสมที่ 34% โดยในปี 2565 กาแฟพันธุ์ไทยมีรายได้ 805 ล้านบาท เติบโต 76.3% YoY

2. ธุรกิจ LPG แบ่งเป็น สถานีบริการ Auto LPG จำนวน 231 สถานีบริการ และร้านจำหน่ายก๊าซ LPG บรรจุถัง (Gas Shop) จำนวน 253 สาขา

3. ร้านสะดวกซื้อ Max Mart จำนวน 309 สาขา

4. ร้านคอฟฟี่ เวิลด์ จำนวน 26 สาขา

5.ศูนย์บริการซ่อมแซมและบำรุงรักษารถยนต์ Autobacs จำนวน 45 สาขา

6. ศูนย์เปลี่ยนถ่ายน้ำมัน Maxnitron Lube Change จำนวน 52 สาขา 7. จุดพักรถ Max Camp จำนวน 64 จุด 8. สถานีอัดประจุไฟฟ้า (EV Charging) จำนวน 35 จุดชาร์จ

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจ Non-Oil ของ PTG มีการเติบโตในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็น จำนวน Touchpoint ที่เติบโต 36% YoY และมี CAGR 5 ปีเฉลี่ยสะสมที่ 34% รายได้เติบโต 68% YoY และ CAGR 5 ปี ที่ 37%

กำไรขั้นต้นเติบโต 50% YoY และ CAGR 5 ปี ที่ 36% และสัดส่วนกำไรขั้นต้นที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นปี มีสัดส่วนกำไรขั้นต้นในธุรกิจ Non-Oil ที่ 18.5% ซึ่งเป็นไปตามที่เรามองไว้ว่าจะอยู่ที่ระดับ 15-20%

ส่วนโครงการ Solar Rooftop เป็นการลงทุนผ่าน บริษัท พีทีจี กรีน เอ็นเนอยี จำกัด (PTGGE) ปัจจุบันกำลังอยู่ในระหว่างลงทุนและซื้อขายไฟฟ้าในรูปแบบ Private PPA กับบริษัทฯ และจะขยายการลงทุนในประเทศและต่างประเทศต่อไปในอนาคต ปัจจุบันโครงการนี้มีมูลค่าเงินลงทุน จำนวน 300 ล้านบาท และมีกำลังการผลิตไฟฟ้า ทั้ง Phase 1-4 โดยรวมประมาณ 8.171 MW โดยในปัจจุบัน Phase 1 และ 2 ได้ดำเนินการติดตั้งเสร็จสิ้นแล้ว

โดยปีนี้มีแผนติดตั้งเพิ่มอีก 6.291 MW คาดว่าปี 2567 จะลดปริมาณการใช้ไฟฟ้า 9.5 ล้านหน่วยต่อปี และคาดว่าจะลดค่าใช้จ่าย 40-50 ล้านบาท รวมทั้งช่วยลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 4.237 ล้านตันต่อปี (EPPO ref:การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหน่วยการใช้ไฟฟ้า (kWh) :0.446)

ส่วนของโรงไฟฟ้าขยะเพื่อชุมชน ณ เทศบาลเมืองบ้านพรุ มีขนาด 4.5 MW ซึ่งโครงการนี้จะช่วยเสริมธุรกิจ Renewable Energy ของบริษัทฯ และส่งเสริมมิติสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับกลยุทธ์ ESG ของบริษัทฯ ซึ่งมีมูลค่าโครงการโดยประมาณ 1,000 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มการก่อสร้างได้ในช่วงไตรมาส 3/66 และ เปิด COD ได้ในปี 2568

โดยผลประโยชน์ที่บริษัทฯ คาดว่าจะได้รับ คือสามารถลดปริมาณขยะสะสมได้ 2-3 ล้านตัน คาดว่าสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สะสมได้ 4-5 ล้านตัน และสร้างงานสร้างโอกาสให้คนอีก 100 ตำแหน่ง ทั้งหมดนี้เพื่อเชื่อมให้ทุกคนได้มีโอกาสเข้าถึงชีวิตที่อยู่ดี มีสุขในทุกด้านของช่วงชีวิต


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ