ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกวันนี้ “เส้นทางความยั่งยืน” ไม่ได้เป็นเพียงทางเลือกอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นเส้นทางหลักที่ทุกคนควรคิดถึง และหันเข็มทิศ พร้อมเลือกวิธีการเดินทาง นำพาธุรกิจไปอย่างยั่งยืนในแบบของตัวเอง ทั้งหมดก็เพื่อให้โลกของเรากลับมา “สมดุล” อีกครั้ง
โดยเฉพาะบนเส้นทางของธุรกิจขนาดใหญ่ที่ต่างเริ่มปรับตัวในวิธีการที่แตกต่างกันไป วันนี้เราจะพาคุณมาเจาะลึกเส้นทางของบริษัทอาหารและเครื่องดื่มระดับโลกอย่าง “เนสท์เล่” ว่ามีวิธีการและบทเรียนอะไรที่น่าสนใจในการพัฒนาธุรกิจสู่ความยั่งยืนภายใต้ปรัชญา “Good food, Good life อาหารที่ดี เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี”
ริเริ่มบรรจุภัณฑ์รักษ์โลก สนับสนุนกระบวนการรีไซเคิลอย่างเป็นระบบ
ในแต่ละวันผลิตภัณฑ์เนสท์เล่ในประเทศไทยล้วนถูกจับจ่ายจากผู้บริโภคหลายล้านคน เนสท์เล่จึงต้องการให้บรรจุภัณฑ์เหล่านี้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เริ่มต้นเปลี่ยนแปลงบรรจุภัณฑ์ทั้งหมดให้เป็นบรรจุภัณฑ์รักษ์โลก โดยออกแบบมาให้สามารถนำไปรีไซเคิลได้ โดยปัจจุบันบรรจุภัณฑ์กว่า 93% ของเนสท์เล่ได้รับการออกแบบมาให้สามารถรีไซเคิลได้แล้ว เนสท์เล่ยังมีแผนจะลดการใช้พลาสติกผลิตใหม่ลง 1 ใน 3 ภายในปี พ.ศ. 2568 ปัจจุบันผลิตภัณฑ์อย่างไอศกรีมเนสท์เล่หลายๆ ตัว ได้มีการเปลี่ยนไปใช้ซองกระดาษ ทดแทนการใช้พลาสติก หรือแม้แต่ผลิตภัณฑ์ยูเอชทีทั้งหมด ก็ใช้หลอดกระดาษทดแทนหลอดพลาสติก รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ประเภทน้ำดื่ม อย่างเนสท์เล่ เพียวไลฟ์ และ น้ำแร่ธรรมชาติ มิเนเร่ ก็ได้ใช้ขวด PET ใส ที่สามารถนำกลับไปรีไซเคิลได้หมดทุกส่วน
นอกจากนี้ กลุ่มผลิตภัณฑ์อย่าง เนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู และ ไมโล ได้เปลี่ยนมาใช้บรรจุภัณฑ์ monostructure ที่ผลิตจากพลาสติกตระกูลเดียวกัน ทำให้กระบวนการนำไปรีไซเคิลง่ายมากขึ้น ผลิตภัณฑ์เนสกาแฟกระป๋องพร้อมดื่ม ก็เปลี่ยนเป็นกระป๋องอะลูมิเนียมน้ำหนักเบาที่รีไซเคิลได้ 100% อีกด้วย
ลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ อย่างเป็นขั้นตอน
ภายในปี พ.ศ. 2593 เนสท์เล่ตั้งเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนสุทธิให้เหลือ 0 โดยเริ่มต้นหลายๆ โครงการในประเทศไทยไปแล้ว เช่น การนำร่องใช้รถพลังงานไฟฟ้าในการขนส่งผลิตภัณฑ์คิทแคทแบบควบคุมอุณหภูมิ การใช้รถสามล้อไฟฟ้าขายไอศกรีมเนสท์เล่ และมีเป้าหมายในการเปลี่ยนรถยนต์ผู้บริหารให้เป็นรถยนต์ที่ปล่อยคาร์บอนน้อยลง และเป้าหมายที่ใหญ่ที่สุดคือ จะผลักดันการใช้พลังงานหมุนเวียนให้ได้ 100% ภายในปี พ.ศ. 2568 โดยในปีนี้ โรงงานของเนสท์เล่ 5 ใน 7 แห่ง ได้เริ่มเปลี่ยนไปใช้ไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน
ดูแลและบริหารทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน
“น้ำ” เป็นทรัพยากรหลักสำคัญที่บริษัทเนสท์เล่ให้ความสำคัญ จึงได้มีการปรับปรุงกระบวนการใช้น้ำในการผลิต ให้มีประสิทธิภาพและคุ้มค่ามากที่สุด กลุ่มธุรกิจน้ำดื่มเนสท์เล่ ได้ให้คำมั่นสัญญา “Water Positive Pledge” หรือหมายความว่า การทดแทนน้ำกลับคืนสู่ธรรมชาติและชุมชนในปริมาณที่เท่ากับบริษัทใช้ในการดำเนินธุรกิจน้ำดื่ม เพื่อชุมชนรอบโรงงาน ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและสุราษฎร์ธานี ซึ่งทำให้มีเพียงโรงงานสองแห่งนี้ ในประเทศไทย ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการดูแล และจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนระดับสากล จาก Alliance for Water Stewardship (AWS) ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันความเอาจริงเอาจังของเนสท์เล่ในการบริหารทรัพยากรน้ำได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ เนสท์เล่ยังสานต่อการจัดโครงการ “เยาวชนพิทักษ์สายน้ำ” เพื่อส่งเสริมการฟื้นฟูคุณภาพน้ำ เพิ่มจำนวนสัตว์น้ำในคลองขนมจีน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
สร้างความยั่งยืนในการจัดหาวัตถุดิบและดูแลชุมชนไปพร้อมกัน
อีกหนึ่งหัวใจสำคัญในการสร้างความยั่งยืน คือการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ฐานราก การพัฒนาอุตสาหกรรมกาแฟตั้งแต่การได้มาซึ่งวัตถุดิบก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง ที่บริษัทเนสท์เล่ก็ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยมีโครงการ เนสกาแฟ แพลน ที่มอบต้นกล้ากาแฟกว่า 3.5 ล้านต้น ให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกของไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 และมีการจัดโครงการฝึกอบรมเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟมากกว่า 2,000 คน ทำให้มีเกษตรกรกว่า 2,500 คน ได้รับการรับรองมาตรฐานความยั่งยืน 4C (Common Code for Coffee Community) อีกด้วย
จึงทำให้เมล็ดกาแฟอาราบิก้าและโรบัสต้าที่เนสท์เล่จัดซื้อจากในประเทศไทย ผ่านการรับรอง Sustainably Sourced 100% ตามหลักปฏิบัติในการทำสวนกาแฟตามมาตรฐานสากล 4C ซึ่งทำให้เป้าหมายของเนสท์เล่ ที่ตั้งเป้าการจัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืน 100% สำเร็จตามเป้าหมายแล้วในปัจจุบัน และเนสท์เล่ยังคงดำเนินงานส่งมอบองค์ความรู้ เกี่ยวกับ “ทฤษฎีเกษตรฟื้นฟู” หรือ Regenerative Agriculture ที่เป็นแนวทางในการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืน โดยเน้นการปรับปรุงคุณภาพดินและความอุดมสมบูรณ์ พร้อมฟื้นฟูดูแลทรัพยากรน้ำและความหลากหลายทางชีวภาพ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อฐานรากของชุมชนเกษตรกรที่เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น
ส่งต่อแนวคิดสู่ความยั่งยืน
จากการลงมือทำจริงในหลากหลายแง่มุมที่เล่ามา เนสท์เล่ ยังเชื่อว่าการส่งต่อแรงบันดาลใจรวมถึงองค์ความรู้ด้านความยั่งยืนเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้และต้องทำอย่างต่อเนื่อง เช่น ในปี พ.ศ. 2564 ได้เปิดตัวแคมเปญ "เล็กน้อยเปลี่ยนโลกได้" (Every Little Act Matters) สร้างแรงบันดาลใจให้คนไทย เริ่มต้นปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจากทีละเล็กละน้อย เพื่อช่วยกันปกป้องโลก เพราะเนสท์เล่เชื่อในพลังและบทบาทของทุกชีวิตที่จะสามารถช่วยกันขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่เพื่อโลกของเราและคนรุ่นต่อไป
ตลอดเวลาที่ผ่านมารวมถึงในอนาคต บริษัทเนสท์เล่ ยังมีโครงการดีๆ อีกมากมาย ที่จะช่วยส่งเสริมถนนความยั่งยืน และรับมือวิกฤติโลกรวน เพื่อให้โลกของเราน่าอยู่มากยิ่งขึ้น ภายใต้ปรัชญา “Good food, Good life อาหารที่ดีเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี” เพราะเนสท์เล่เชื่อว่าความยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกคน.