ผู้ประกอบการอสังหาฯ เร่งเปิดตัวโครงการใหม่ กระตุ้นกำลังซื้อโค้งสุดท้ายของปี 65 แม้จะเผชิญกับความผันผวนทางเศรษฐกิจจากภาวะเงินเฟ้อ ภาระหนี้ครัวเรือน และอัตราดอกเบี้ยที่ขยับสูงขึ้น
นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด บริษัทวิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือ บริษัท แอล. พี. เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN กล่าวว่า แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2565 นั้นผู้ประกอบการอสังหาฯ ยังคงมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2565
แม้จะเผชิญกับความผันผวนทางเศรษฐกิจที่เกิดจากภาวะเงินเฟ้อที่ขยับสูงขึ้นเกินกว่า 5% มาอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ราคาวัสดุก่อสร้างปรับตัวสูงขึ้น ผนวกกับที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มสูงขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2565 เมื่อเทียบกับช่วง 9 เดือนแรกของปี
ในขณะที่ภาระหนี้ครัวเรือนที่สูงแตะระดับ 90% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Products:GDPs) ก็ตาม เนื่องจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ได้มีการชะลอแผนการเปิดตัวโครงการมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563-2564 ซึ่งเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของโควิด ทำให้สินค้าคงเหลือมีจำนวนลดลง ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์จำเป็นต้องเดินหน้าเปิดตัวโครงการเพื่อเพิ่มสินค้าและกระตุ้นกำลังซื้อในตลาด
ขณะที่ 9 เดือนแรกของปี 2565 (ม.ค.-ก.ย.65) ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์มีการเปิดตัวโครงการใหม่ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล รวม 286 โครงการ คิดเป็นจำนวนหน่วยเปิดตัวทั้งสิ้น 76,220 หน่วย คิดเป็นมูลค่ารวม 324,801 ล้านบาท หรือเติบโต 124% และ 87% ตามลำดับเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 2564 เป็นการเปิดตัวคอนโดมิเนียม 72 โครงการ จำนวน 39,431 หน่วย เพิ่มขึ้น 235%(YoY) มูลค่า 96,836 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58% (YoY)
โดยมีอัตราขายเฉลี่ย ณ วันเปิดตัวโครงการ 31% และเป็นการเปิดตัวบ้านพักอาศัย 214 โครงการ จำนวน 36,789 หน่วย เพิ่มขึ้น 65%(YoY) มูลค่า 227,965 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 103%(YoY) อัตราขายเฉลี่ย ณ วันเปิดตัวโครงการ 14% โดยโครงการบ้านพักอาศัยที่เปิดตัวสูงสุดเป็นโครงการประเภททาวน์เฮาส์ ที่ระดับราคา 2-3 ล้านบาท ยอดขายเฉลี่ย ณ วันเปิดตัวโครงการ 10% ในทุกทำเลรอบตัวเมืองกรุงเทพฯ
อย่างเช่น รังสิต, บางบัวทอง และบางนา ถัดมาเป็นบ้านแฝด เปิดตัวสูงสุดในระดับราคา 3-6 ล้านบาท ยอดขายเฉลี่ย ณ วันเปิดตัวโครงการ 11% อยู่ในทำเล บางนา บางพลี สมุทรปราการ, บางบัวทอง นนทบุรี และบ้านเดี่ยว เปิดตัวสูงสุดด้วยราคา 6-10 ล้านบาท ยอดขายเฉลี่ย ณ วันเปิดตัวโครงการ 12% ในทำเลลำลูกกา, บางพลี สมุทรปราการ, บางบัวทอง นนทบุรี
ขณะที่การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 6 เดือนแรกของปี 2565 (ม.ค.-มิ.ย.65) มีจำนวนหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์ทั้งสิ้น 87,316 หน่วย เพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับยอดโอนกรรมสิทธิ์ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 6 เดือนแรกของปี 2564 ที่มีจำนวนหน่วยการโอนทั้งสิ้น 81,553 หน่วย ในขณะที่มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 อยู่ที่ 297,159 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.12% เมื่อเทียบกับมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่ 293,845 ล้านบาท ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2564
จากข้อมูลการเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 ซึ่งเป็นด้านการอุปทาน หรือ Supply กับยอดการโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ซึ่งเป็นด้านของอุปสงค์ หรือ Demand จะเห็นได้ว่ามีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้การเติบโตของเศรษฐกิจจะมีปัจจัยลบเข้ามากระทบทั้งผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน อัตราเงินเฟ้อที่ขยับสูงขึ้น สะท้อนให้เห็นกำลังซื้อที่เป็นความต้องการที่แท้จริง หรือ Real Demand ที่มีอยู่ในตลาด โดยเฉพาะตลาดที่อยู่อาศัยที่ระดับราคา 3-5 ล้านบาทที่มีกำลังซื้อสูง ทั้งอาคารชุดและบ้านพักอาศัย
นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าวอีกว่า จากแนวโน้มดังกล่าวทำให้ ลุมพินี วิสดอม เชื่อว่า ผู้ประกอบการอสังหาฯ ยังคงเดินหน้าเปิดตัวโครงการที่พักอาศัยอย่างต่อเนื่องในช่วงโค้งสุดท้ายของปี เพื่อกระตุ้นและตุนยอดขายที่จะสร้างรายได้ต่อเนื่องในปี 2566-2567 โดยคาดว่าจะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่าการเปิดตัวในปี 2565 เพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับปี 2564 เพื่อสะสมยอดขายและเพิ่มสินค้ามาทดแทนจำนวนสินค้าที่ลดลง ซึ่งเป็นผลมาจากการชะลอการเปิดตัวโครงการในปี 2563-2564
ในขณะเดียวกันราคาที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น 5-8% ในปี 2566 ตามภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นทั้งจากราคาที่ดินที่สูงขึ้นตามการประเมินราคาที่ดินใหม่ที่กรมธนารักษ์ประกาศใช้วันที่ 1 ม.ค. 66 ประมาณ 5-8% เมื่อเทียบกับปี 2561 ผนวกกับอัตราค่าแรงขั้นต่ำที่ปรับตัวสูงขึ้น 5-8% (ขึ้นอยู่กับพื้นที่) ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. ที่ผ่านมา
รวมถึงราคาวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้นตามต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากค่าพลังงานที่สูงขึ้น ทำให้ผู้ซื้อที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อการอยู่อาศัย ตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยในราคาเดิมในช่วงนี้ จึงเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการอสังหาฯ ที่จะเปิดตัวโครงการและแคมเปญทางการตลาดเพื่อกระตุ้นและตุนยอดขายในช่วงโค้งสุดท้ายของปี ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสทองของผู้ซื้อที่จะได้สินค้าราคาเดิม.