3 สมาคมปุ๋ยยันปุ๋ยเคมีฤดูกาลเพาะปลูกนี้ไม่ขาดแน่ เหตุเร่งนำเข้าต่อเนื่องและหาแหล่งนำเข้าอื่นทดแทนแล้ว หลังพาณิชย์ไฟเขียวให้ขึ้นราคา ด้านผู้ค้าโชว์แมนคงไม่ปรับขึ้นราคาถึง 100–200% ตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจริง เพราะจะทำให้เกษตรกรและประชาชนเดือดร้อน แต่อาจทยอยขึ้นเป็นรอบ เช่น ปรับราคาขึ้นก่อน 10–20%
นายวัฒนศักดิ์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับ 3 สมาคม ผู้ผลิต ผู้จำหน่ายและนำเข้าปุ๋ยเคมี ประกอบด้วย สมาคมการค้าปุ๋ยและธุรกิจการเกษตรไทย สมาคมการค้าผู้ผลิตปุ๋ยไทย และสมาคมคนไทยธุรกิจเกษตร เพื่อหารือถึงสถานการณ์ปุ๋ยเคมีในขณะนี้ว่า เอกชนยืนยันว่าปุ๋ยมีเพียงพอสำหรับฤดูกาลเพาะปลูกที่จะเริ่มในเดือน พ.ค.65 เพราะเตรียมการนำเข้ามาเป็นระยะๆ และสั่งซื้อล่วงหน้าแล้ว ทั้งปุ๋ยยูเรีย โพแทสเซียม และฟอสเฟต ทำให้มั่นใจว่าช่วงครึ่งแรกของปีนี้จะไม่มีปัญหาปุ๋ยขาดแคลน และช่วงไตรมาส 3 และ 4 ของปีนี้ ก็ไม่น่ามีปัญหาเช่นกัน
“ผู้ประกอบการยืนยันจะเร่งนำเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยสั่งซื้อไว้ล่วงหน้าบางส่วนและวางแผนสั่งซื้อต่อเนื่อง แต่อาจจะสะดุดบ้าง เพราะแหล่งนำเข้าสำคัญหลายแห่ง มีปัญหาจากผลกระทบของสงครามรัสเซีย-ยูเครน และการคว่ำบาตรรัสเซียและเบลารุส ซึ่งส่งผลให้ราคาปุ๋ยทั่วโลกทะยานขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพราะทั้ง 2 ประเทศเป็นแหล่งผลิตและส่งออกรายใหญ่ของโลก รวมทั้งบางประเทศได้สำรองไว้ใช้ในประเทศ ทำให้ปริมาณในตลาดลดลง ซึ่งผู้ประกอบการแก้ปัญหาด้วยการหาแหล่งนำเข้าอื่นๆทดแทน เช่น ซาอุดีอาระเบีย”
สำหรับการปรับขึ้นราคาปุ๋ยเคมีตามต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นนั้นกรมได้ขอให้ผู้ประกอบการส่งต้นทุนมาให้พิจารณาแล้ว ซึ่งจะพิจารณาตามต้นทุนที่แท้จริง และจะอนุญาตให้มีปรับขึ้นราคาตามต้นทุน ไม่ใช่ให้ขึ้นเท่ากันหมดทุกสูตร ทุกราย โดยการปรับขึ้นราคาต้องไม่เป็นภาระกับเกษตรกรมากเกินไป ขณะที่ผู้ประกอบการยังประกอบธุรกิจต่อไปได้ ซึ่งทุกอย่างจะต้องสมเหตุสมผล เพราะหากไม่ให้ขึ้นราคาจะมีปัญหาขาดแคลน ซึ่งจะเป็นปัญหาใหญ่
ส่วนต้นทุนปุ๋ยในปัจจุบัน ผู้ประกอบการแจ้งว่า ปุ๋ยสูตรหลักๆ ปรับสูงขึ้น เช่น ปุ๋ยยูเรีย ราคาส่งออก ณ ท่าเรือต้นทาง (เอฟโอบี) ตันละ 960-1,000 เหรียญสหรัฐฯ ฟอสเฟต ตันละ 1,100-1,200 เหรียญฯ และโปแตสเซียม ตันละ 950-1,000 เหรียญฯ สูงขึ้นจากเดิม 100-200% แต่การอนุญาตให้ปรับขึ้นราคา จะไม่อนุญาตให้ขึ้นตามต้นทุน เพราะยังมีสต๊อกเก่าที่ต้นทุนต่ำกว่าเหลืออยู่บางส่วน แต่จะพิจารณาให้ตามเหมาะสม และตามต้นทุนที่แท้จริง
“โจทย์ตอนนี้ต้องดูแลปริมาณให้เพียงพอกับความต้องการใช้ เพราะแต่ละปี มีความต้องการใช้ปุ๋ยในประเทศประมาณ 5 ล้านตัน ส่วนใหญ่เป็นปุ๋ยยูเรียที่เหลือเป็นปุ๋ยชนิดอื่นๆ โดยเรื่องปริมาณเบาใจได้แล้ว แต่เรื่องราคา กรมต้องดูแลอย่างสมเหตุ สมผล เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ทั้งเกษตรกร ผู้ประกอบการ และผู้บริโภค”
นอกจากนี้ กรมยังขอความร่วมมือให้สมาคมช่วยดูแลสมาชิก หากพบว่ารายใดกักตุน ฉวยโอกาสปรับขึ้นราคา ขอให้ตัดสิทธิ์ไม่ให้เป็นผู้จัดจำหน่ายอีก และกรมจะดำเนินคดีตามกฎหมายถึงที่สุดทุกราย
ด้านตัวแทนผู้ค้าปุ๋ยแจ้งว่า ผู้ค้าคงไม่ปรับขึ้นราคาถึง 100-200% ตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น เพราะจะทำให้ เกษตรกรและประชาชนเดือดร้อน แต่อาจขอให้พิจารณาทยอยขึ้นเป็นรอบๆ เช่น ขอปรับขึ้นก่อน 10-20% ตามต้นทุน และน่าจะเริ่มเห็นในช่วงฤดูกาลเพาะปลูกใหม่นี้ ซึ่งที่จริงภาคเอกชนไม่อยากขึ้นราคาสูงมาก เพราะอาจกระทบต่อยอดขาย เนื่องจากมีคู่แข่งขันในตลาดปุ๋ยหลายยี่ห้อ เกษตรกรอาจหันไปซื้อยี่ห้ออื่นหรือปรับใช้ปุ๋ยสูตรอื่นแทน ขณะเดียวกัน กรมการค้าภายในก็กำชับให้คิดต้นทุนที่เป็นธรรม โดยจะต้องนำต้นทุนสต็อกเก่า มาคำนวณเฉลี่ยกับต้นทุนใหม่ที่กำลังจะนำเข้าด้วย จะคิดต้นทุนใหม่ในปัจจุบันอย่างเดียวไม่ได้.