ปมยูเครน-รัสเซีย กระทบเศรษฐกิจ ราคาอาหารและสินค้ามีแนวโน้มปรับแพงขึ้น ขณะที่ปัญหาซัพพลายวิกฤติ ซ้ำเติมตัวเลขเงินเฟ้อ
สำนักข่าว ซีบีเอส รายงานบทวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญจากวอลล์สตรีท ชี้ว่า การที่สหรัฐอเมริกาคว่ำบาตรรัสเซียนั้น จะซ้ำเติมปัญหาค่าครองชีพของชาวอเมริกันให้พุ่งสูงขึ้น ส่งผลให้เกิด 'ช็อกเวฟ' หรือผลกระทบทั่วสหรัฐฯ ทั้งราคาน้ำมันที่พุ่งสูง อาหารที่แพงขึ้น รวมถึงขาดแคลนซัพพลาย ซ้ำเติมสถานการณ์เงินเฟ้อ ส่วนผลกระทบจะมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับว่ารัสเซียจะมีท่าทีโต้ตอบอย่างไรต่อการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ
หากสถานการณ์ยังคงยืดเยื้อ ราคาน้ำมันดิบอาจพุ่งทะลุ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในสัปดาห์หน้า โดยสหรัฐฯ เตรียมปล่อยน้ำมันจากคลังสำรองเพิ่ม รวมถึงส่งก๊าซธรรมชาติไปยังยุโรป
ขณะเดียวกันรัสเซียและยูเครนยังเป็นผู้ส่งออกผลิตผลทางการเกษตรรายใหญ่ของโลก และเป็นผู้ส่งออกข้าวสาลี ข้าวไรย์ ข้าวบาร์เลย์ และธัญพืชอื่นๆ ไปยังตะวันออกกลาง ทำให้การคว่ำบาตรของชาติตะวันตก มีโอกาสส่งผลให้ราคาอาหารทั่วโลกพุ่งสูงขึ้นกระทบผู้บริโภค นอกจากนี้รัสเซียยังเป็นผู้ผลิตแร่ แพลเลเดียม แพลตตินัม และนิกเกิล ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของการผลิตไมโครชิพ ที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรมรวมและการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ทำให้ราคารถยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้าปรับราคาขึ้น ซ้ำเติมปัญหาเงินเฟ้อ ซึ่งประชาชนชนชั้นกลางรวมถึงแรงงานจะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด
ก่อนหน้านี้ช่วงที่ราคาสินค้าในสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้นเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ผู้บริโภคสามารถพอที่จะรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวได้ เนื่องจากมีงบประมาณอัดฉีดช่วยเหลือ รวมถึงผลประโยชน์ของผู้ว่างงาน แต่หากเกิดสงครามในยูเครนและการคว่ำบาตรรัสเซียรุนแรงยิ่งขึ้น จะส่งผลให้ราคาพลังงานที่ปรับสูงขึ้นบวกกับอัตราการบริโภคที่ต่ำลงกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ราว 1 เปอร์เซ็นต์ ท่ามกลางความผันผวนของตลาดหุ้น.
ที่มา: CBS