สมาคมผู้ค้าปลีกไทย เสนอรัฐบาลปลดล็อกกระจายวัคซีนโควิด-19 ให้เร็วที่สุด พร้อมช่วยหยุดดอกเบี้ย 6 เดือน เพื่อต่อลมหายใจให้ SME
เมื่อวันที่ 16 ก.ค. 64 นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า ตามที่ ครม.มีมติอนุมัติมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบใน 10 จังหวัดสีแดงเข้ม เมื่อวันที่ 13 ก.ค. 64 ที่ผ่านมานั้น ถือว่าเป็นมาตรการภาครัฐที่ออกมาได้อย่างรวดเร็วและครอบคลุมได้ดีขึ้นกว่าเดิม แต่สิ่งที่ต้องการจากรัฐบาลคือ การเร่งจัดหาและกระจายวัคซีนอย่างรวดเร็วและทั่วถึงให้กับบุคลากรของกลุ่มการค้าปลีกและบริการ เพื่อให้การล็อกดาวน์ครั้งนี้ เจ็บแต่จบ และหากฉีดวัคซีนได้ตามเป้าหมาย ก็จะสามารถเปิดประเทศได้
อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวยังไม่เพียงพอ และควรครอบคลุมผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนทุกกลุ่ม รวมทั้งขยายระยะเวลาในการเยียวยาให้ยาวขึ้น พร้อมเร่งดำเนินการให้เงินเยียวยาถึงมือโดยทันที สมาคมผู้ค้าปลีกไทย ขอเสนอ 3 มาตรการ ดังนี้
1. มาตรการจัดหาและกระจายวัคซีนที่ชัดเจน
- ใช้พื้นที่จุดฉีดวัคซีนที่ภาคค้าปลีกและบริการได้เตรียมไว้ทั่วประเทศ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
- เร่งฉีดวัคซีนให้กับบุคลากรของกลุ่มการค้าปลีกและบริการให้ทั่วถึง
- สนับสนุนชุดตรวจ Rapid Antigen Test ให้กับธุรกิจในภาคค้าปลีกและบริการเพื่อนำไปตรวจเชิงรุกให้กับบุคลากรในบริษัท เป็นการลดความเสี่ยงของการระบาด
2. มาตรการช่วยเหลือและเยียวยาผู้ประกอบการค้าปลีกและบริการ
- ลดค่าน้ำ ค่าไฟ เพิ่มเป็น 50% เป็นระยะเวลา 6 เดือน
- เพิ่มมาตรการพักหนี้ ช่วยลูกหนี้ในพื้นที่ล็อกดาวน์ จาก 2 เดือน เป็น 6 เดือน พร้อมหยุดคิดดอกเบี้ยเงินกู้
- สนับสนุนให้ผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่เป็นผู้รับสินเชื่อ Soft Loan จากสถาบันการเงิน เพื่อนำไปให้กับผู้ประกอบการ SME
3. มาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน
- ปรับกลไกโครงการ “ยิ่งใช้ยิ่งได้” ให้เหมือนกับ โครงการ “ช้อปดีมีคืน” และเพิ่มวงเงินเป็น 100,000 บาท เพื่อกระตุ้นกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูง
- ส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรมโดยจัดเก็บภาษีนำเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่มของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ตั้งแต่บาทแรก และห้ามขายสินค้าต่ำกว่าทุน
- ปลดล็อกขั้นตอนการออกใบอนุญาตเหลือเพียง 1 ใบ (Super License) จากเดิมที่ต้องขอใบอนุญาตกว่า 43 ใบ จาก 28 หน่วยงาน
- ขยายเวลาโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับนักศึกษาจบใหม่ (Co-payment) ซึ่งจะสิ้นสุด 31 ธ.ค. 64 ออกไปอีก 1 ปี
- ทดลองใช้ระบบการจ้างงานประจำเป็นรายชั่วโมง เพื่อสอดคล้องกับช่วงฟื้นฟูธุรกิจและเกิดการจ้างงานใหม่เพิ่มขึ้น
สำหรับวิกฤติครั้งนี้ส่งผลกระทบรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สมาคมผู้ค้าปลีกไทยเล็งเห็นถึงความสำคัญในการช่วยเหลือผู้ประกอบการค้าปลีกและบริการทั่วประเทศ กว่า 100 บริษัท ครอบคลุม SME ในห่วงโซ่การค้ามากกว่า 100,000 ราย นับเป็น 40% ของมูลค่าการบริโภคค้าปลีกทั้งประเทศ หรือคิดเป็น 12% ของ GDP ซึ่งมีความสำคัญและถือได้ว่าเป็นเสมือนกระดูกสันหลังของระบบเศรษฐกิจไทย
"ในสถานการณ์ที่ท้าทายนี้ สมาคมฯ พร้อมที่จะสนับสนุนและให้ความร่วมมือกับภาครัฐด้วยสรรพกำลังทั้งหมดของสมาคมฯ และภาคีเครือข่าย เพื่อให้เศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งข้อเสนอทั้งหมดนี้ จะต้องทำให้เกิดขึ้นทันที ผมเชื่อว่า ด้วยการรวมพลังของเราทุกคน จะช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยให้กลับมาเดินหน้าได้อีกครั้ง"