นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า หลังจากนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ ได้หารือร่วมกับสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เพื่อกำหนดแผนการทำตลาดข้าวปี 64 เชิงรุกหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย โดยกำหนดเป้าหมายการส่งออกข้าวไทยไว้ที่ 6 ล้านตันนั้น ในส่วนของกรมจะผลักดันการเจรจาขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ให้มากขึ้น โดยเริ่มที่อินโดนีเซีย บังกลาเทศ และจีน
โดยทั้ง 3 ประเทศดังกล่าวนั้น กรมได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ซื้อขายข้าวจีทูจีไว้ทั้งหมดแล้ว โดยอินโดนีเซียและบังกลาเทศ มีกรอบเอ็มโอยูซื้อข้าวจากไทยปีละ 1 ล้านตัน ส่วนจีนได้ลงนามเอ็มโอยูซื้อข้าวจากไทย ภายใต้กรอบความร่วมมือรถไฟความเร็วสูง ซึ่งกำหนดว่า จีนจะซื้อข้าวจากไทย 2 ล้านตัน โดยใน 1 ล้านตันแรก ได้ทำสัญญากันไปแล้ว และจีนนำเข้าจากไทยแล้ว 700,000 ตัน ยังเหลืออีก 300,000 ตัน และที่ผ่านมา กรมได้พยายามเร่งรัดให้จีนนำเข้าข้าวในส่วนที่เหลือให้หมด โดยเหตุที่จีนยังชะลอการซื้อจากไทย เพราะเห็นว่า ราคาข้าวไทยขณะนี้สูงกว่าคู่แข่งมาก แต่กรมจะพยายามผลักดันให้จีนนำเข้าให้ครบโดยเร็ว
“ไทยก็ต้องพยายามให้ประเทศเหล่านี้ซื้อข้าวจากเราตามที่กำหนดไว้ แต่ต้องยอมรับว่า เอ็มโอยูเป็นเพียงกรอบเบื้องต้น ซึ่งการจะซื้อข้าวจากไทยหรือไม่ ยังขึ้นอยู่กับสถานการณ์ภายในประเทศนั้นๆ ด้วย เช่น มีภัยธรรมชาติ ประสบภาวะข้าวขาดแคลนหรือไม่ อย่างอินโดนีเซียและบังกลาเทศที่ลงนามกับไทยว่าจะซื้อข้าวปีละ 1 ล้านตัน ก็เพื่อสำรองในกรณีที่เกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือมีความจำเป็นต้องนำเข้า ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องนำเข้าในปีใด”
ส่วนกรณีการผลักดันขายข้าวให้จีนในส่วน 300,000 ตันที่เหลือนั้น กรมได้ติดต่อหน่วยงานนำเข้าข้าวจากจีน (คอฟโก) อย่างต่อเนื่อง แต่ขณะนี้ จีนมีปริมาณผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้น จนทำให้จีนต้องส่งออกข้าว อีกทั้งราคาข้าวไทยแพงขึ้น
ซึ่งถือว่าเป็นความลำบาก แต่กรมจะพยายามผลักดันให้เกิดการซื้อข้าวจากไทยภายใต้ทั้ง 3 กรอบเอ็มโอยู และจะพยายามผลักดันอย่างดีที่สุดให้การส่งออกข้าวไทยเป็นไปตามเป้าหมายที่ 6 ล้านตัน.