เอกชน ดี๊ด๊ารัฐไม่ล็อกดาวน์ทั้งประเทศ แต่แบ่งโซนดูแล แต่อยากให้เร่งดูแลแรงงานต่างชาติอย่าเข้มงวด โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ–ปริมณฑล รวมทั้งจัดการขึ้นทะเบียนให้ถูกต้อง “ซีไอเอ็มบี” ชี้โควิดระบาดระลอกใหม่ ทำเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกปีหน้าดิ่ง
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงแนวทางที่รัฐบาลประกาศ โดยศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบศ.) ที่ไม่พิจารณาล็อกดาวน์ทั้งประเทศ แต่แบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 กลุ่มเพื่อควบคุมตามระดับความรุนแรงของสถานข การณ์ว่า นับเป็นเรื่องที่ดี และทำให้ภาพชัดเจนขึ้นในการบริหารจัดการ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องติดตามต่อไปคือในทางปฏิบัติที่ทุกฝ่ายดำเนินการตามมาตรการที่รัฐวางไว้อย่างเคร่งครัดและรัดกุมเพื่อไม่ให้เกิดการกระจายของการแพร่ระบาดเพิ่มขึ้น โดยรัฐบาลได้ให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดในการดูแล ซึ่งเชื่อมั่นว่ามาตรการนี้รัฐบาลจะปฏิบัติได้อย่างรัดกุม
นายเกรียงไกร ยังกล่าวต่อว่า ทาง ส.อ.ท. เห็นด้วยที่รัฐบาลจะมีการสำรวจข้อมูลแรงงานต่างด้าวทั้งหมด และผลักดันให้มีการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งพบว่าขณะนี้แรงงานต่างด้าวที่ผิดกฎหมายมีจำนวนมากชี้ให้เห็นว่าไม่สอดรับกับความต้องการแรงงาน และต้องการให้รัฐจัดโซนนิ่งที่อยู่อาศัยให้กับแรงงานต่างด้าวเช่น สิงคโปร์ ไต้หวัน ที่เป็นแคมป์คนงาน เนื่องจากขณะนี้แรงงานต่างด้าวอยู่กันเป็นชุมชนที่แออัดไม่ถูกสุขลักษณะ
ด้านนายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย (อีคอนไทย) กล่าวว่า รัฐบาลได้เดินมาถูกทางแล้ว เนื่องจากการล็อกดาวน์ประเทศจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างมาก แต่ภาคเอกชนก็ต้องการให้รัฐบาลเฝ้าระวังเป็นพิเศษในพื้นที่ที่เชื่อมโยงกับสมุทรสาคร อาทิ กรุงเทพฯ สมุทรปราการ นครปฐม ราชบุรี สมุทรสงคราม ปทุมธานี ซึ่งมีแรงงานต่างด้าวอยู่จำนวนมากเช่นกัน และเดินทางเชื่อมโยงกันไปมา
ขณะที่การแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาในประเทศไทยแบบผิดกฎหมายขณะนี้เห็นว่ารัฐบาล ควรมีคำสั่งที่เป็นมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ขึ้นทะเบียนได้ทันทีเนื่องจากต้องเข้าใจธรรมชาติแรงงานต่างด้าว ที่มาแบบผิดกฎหมาย จึงต้องปลดล็อกเรื่องนี้ก่อนและควรให้ลงทะเบียนฟรี เป็นต้น
นายวิชัย อัศรัสกร รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า เห็นด้วยกับ ศบค. ที่ไม่ได้ล็อกดาวน์ทั้งประเทศ เพราะทราบแหล่งที่มาของการระบาดชัดเจนว่ามาจากสมุทรสาครที่เดียว และระบาดเป็นดาวกระจาย ซึ่งการกำหนดให้พื้นที่ระบาดหนักเป็นฮอตโซน และมีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดที่เข้มงวดถือว่าถูกต้องแล้ว เพราะจะเป็นการจำกัดวงของการแพร่ระบาดได้ อีกทั้งการล็อกดาวน์ทั้งประเทศ จะยิ่งซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยมากขึ้นไปอีก
“ในจังหวัดอื่นๆ ที่ไม่ใช่แหล่งของการระบาด หรือแม้กระทั่งในพื้นที่เสี่ยงที่ไม่ใช่ฮอตโซนเอง ยังทำธุรกิจได้อยู่ ขณะที่ประชาชนก็ยังเดินทางไปไหนมาไหน หรือจับจ่ายใช้สอยได้อยู่ ถ้าไปล็อกดาวน์ด้วย จะยิ่งทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงักอีกรอบ และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยมากขึ้นไปอีก แต่ในช่วงนี้อยากขอให้ทุกภาคส่วนปฏิบัติอย่างเข้มงวดเหมือนเมื่อตอนเกิดการระบาดในช่วงต้นปี เพราะพิสูจน์แล้วว่า ทำให้ไทยปลอดเชื้อในประเทศได้”
ขณะที่นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวถึงกรณีที่ ศบค.ไม่ล็อกดาวน์ทั่วประเทศ เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ และไม่เกิดผลกระทบเชิงลบที่รุนแรงเหมือนกับช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา แต่ยอมรับว่าการระบาดของโควิด-19 ในรอบใหม่ไม่ได้เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ ประชาชนระมัดระวังการใช้จ่าย การท่องเที่ยวได้รับผลกระทบ ซึ่งมีผลต่อธุรกิจโรงแรม การขนส่ง ร้านอาหาร และค้าปลีก เป็นต้น ขณะเดียวกันในภาคอุตสาหกรรมมีปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ทำให้เกิดการชะลอการลงทุน ซึ่งจะมีผลต่อเศรษฐกิจไตรมาส 1 ปี 2564
“การระบาดของโควิด-19 ในรอบใหม่นำไปสู่การหดตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาสแรกปีหน้า เทียบไตรมาส 4 ปีนี้ และเราอาจเห็นคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ออกมาตรการเพิ่มเติม แต่ที่ยังไม่ทำอะไรในรอบนี้ เพราะอาจรอมาตรการการคลังเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจก่อน”.