ร้านอาหารญี่ปุ่นยังขลัง ซูชิแฟรนไชส์คึกคักสู้โควิด-19

เจโทรสำรวจพบปี 63 ร้านอาหารญี่ปุ่นในไทย ขยายตัว 12.6% หรือเพิ่มขึ้น 1,100 ร้าน แตะ 4,094 ร้านทั่วประเทศ เผยซูชิแฟรนไชส์สยายปีกมากที่สุด แต่ก็มีร้านที่ปิดกิจการ 726 ร้าน สูงสุดนับตั้งแต่ปี 50 เหตุโดนโควิดถล่ม ส่วนปี 64 ยังยากที่จะคาดการณ์ แต่เชื่อว่าขยายตัวได้ดีในต่างจังหวัด

นายอัทสึชิ ทาเคทานิ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทรกรุงเทพฯ) เปิดเผยถึงผลสำรวจร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยปี 63 ที่สำรวจระหว่างวันที่ 1 ก.ย.-10 ธ.ค.63 ทั้งร้านที่ให้บริการอาหารญี่ปุ่น หรืออาหารที่ดัดแปลงให้เป็นสไตล์ญี่ปุ่น ร้านอาหารที่มีเมนูอาหารญี่ปุ่นเกินครึ่งของเมนูทั้งหมด และร้านอาหารที่มีการจัดที่นั่งสำหรับลูกค้าถาวรว่า มีจำนวนทั้งสิ้น 4,094 ร้าน ส่วนใหญ่เป็นร้านของคนไทย มีทั้งที่เป็นร้านแบบสาขาเดียว และเป็นเชน (Chain) ซึ่งเพิ่มขึ้น 1,183 ร้าน หรือ 12.6% จากปี 62 ที่มี 3,637 ร้าน โดยประเภทร้านอาหารที่เพิ่มขึ้นมากที่สุด ได้แก่ ร้านอาหารประเภทซูชิ โดยเฉพาะร้านซูชิแฟรนไชส์ ที่เพิ่มขึ้นมากที่สุด

“ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ทราบว่า มีร้านอาหารญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น ทำให้ผู้บริโภคชาวไทยมีโอกาสได้รับประทานอาหารญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น แม้ว่าขณะนี้ยังมีผลกระทบจากโควิดอย่างต่อเนื่อง แต่เจโทรมุ่งมั่นที่จะดำเนินโครงการต่างๆ เพื่อส่งเสริมและประชาสัมพันธ์เสน่ห์ของวัตถุดิบอาหารนำเข้าจากญี่ปุ่น และช่วยกระตุ้นธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยให้กลับมาฟื้นตัว และส่งเสริมให้อาหารญี่ปุ่นได้รับความนิยมมากขึ้น”

สำหรับร้านอาหารทั้ง 4,094 ร้านนั้น กระจายอยู่ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดท่องเที่ยว ซึ่งเป็นร้านที่เปิดในกรุงเทพฯ มากที่สุดถึง 2,105 ร้าน ตามด้วยชลบุรี และนนทบุรี เท่ากันที่ 256 ร้าน, เชียงใหม่ 162 ร้าน, สมุทรปราการ 129 ร้าน, ปทุมธานี 102 ร้าน, ภูเก็ต 69 ร้าน, สงขลา 68 ร้าน, นครราชสีมา 63 ร้าน, นครปฐม 56 ร้าน เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ในปี 64 ยังยากจะคาดการณ์ว่า แนวโน้มการเปิดร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยจะเพิ่มขึ้นหรือไม่ เพราะยังมีผลกระทบจากโควิด-19 และนักท่องเที่ยว รวมถึงนักธุรกิจยังไม่กลับมา แต่เชื่อว่าจะยังขยายตัวได้ดีในต่างจังหวัด จนถึงขณะนี้ยังมีนักลงทุนญี่ปุ่น ติดต่อเจโทรเพื่อขอข้อมูลการลงทุนร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยอย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน ในปี 63 มีร้านที่ปิดตัวลงมากถึง 726 ร้าน สูงสุดนับตั้งแต่ปี 2550 ที่เริ่มทำการสำรวจ โดยมีสาเหตุหลักมาจากการแข่งขันที่สูงขึ้น รวมถึงยอดขายและจำนวนลูกค้า ที่ยังไม่ฟื้นกลับมาเหมือนช่วงก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 โดยในช่วงล็อกดาวน์เดือน เม.ย.63 เจโทรได้สอบถามข้อมูลจากร้านอาหารประมาณ 40 ร้าน พบว่า ยอดขายอยู่ที่ 0-30% จากยอดขายของช่วงเดียวกันในปีก่อน ส่วนในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ จากการสอบถามข้อมูลจากร้านอาหาร และรายงานงบการเงินของเชนร้านอาหารญี่ปุ่นรายใหญ่ในไทย พบว่า ยอดขายร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยอยู่ที่ 30-85% ของยอดขายในช่วงเดียวกันของปีก่อน

“ในช่วงล็อกดาวน์ ยอดขายร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยลดลงมาก บางร้านปิดกิจการ หรือขายกิจการ แต่หลังคลายล็อกดาวน์ ร้านที่มีลูกค้าคนไทยเป็นหลัก หรือกลุ่มคนไทยกำลังซื้อสูง เริ่มมีลูกค้ากลับมาและยอดขายฟื้นตัว บางร้านเริ่มวางแผนขยายสาขาเพิ่มขึ้น แต่มีร้านจำนวนน้อยที่ยอดขายกลับมาอยู่ในระดับเดียวกัน หรือมากกว่าในช่วงก่อนโควิด-19 เพราะผู้บริโภคยังคงลดการใช้จ่ายและทำอาหารทานเองที่บ้าน ขณะที่ร้านที่มีลูกค้าเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติหรือใช้ในการรับรองลูกค้าของบริษัทญี่ปุ่น ฟื้นตัวค่อนข้างช้า”

ทั้งนี้ ในปี 63 ญี่ปุ่นส่งออกสินค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่มมาไทยมูลค่าเกือบ 10,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.3% ส่วนใหญ่เป็นสินค้าประมง เช่น ปลาทูนา ปลาซาบะ ปลาอิวาชิ, เนื้อวัว, ผัก ผลไม้สด เช่น องุ่น แอปเปิ้ล, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น สาเก เป็นต้น โดยญี่ปุ่นส่งออกมาไทยเป็นอันดับ 6 ของโลก และเป็นอันดับ 2 ในอาเซียนรองจากเวียดนาม

นายทาเคทานิกล่าวต่อว่า ร้านอาหารญี่ปุ่นในไทย เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่ปี 2543 และเพิ่มขึ้นทุกปี เพราะวัฒนธรรมอาหารญี่ปุ่นมีความแพร่หลายมากขึ้น อีกทั้งราคาอาหารมีให้เลือกหลากหลาย ส่งผลให้ฐานลูกค้าขยายตัวมากขึ้น อีกทั้งศูนย์การค้ายังเปิดให้บริการนอกพื้นที่กรุงเทพฯ สำหรับร้านอาหารญี่ปุ่นในไทย มีหลากหลายทั้งภัตตาคาร, ร้านราเมง/เกี๊ยวซ่า, สุกี้ยากี้/ชาบู, ร้านไก่ย่าง, ร้านเนื้อย่าง, ร้านซูชิ ร้านอาหารประเภทปลา ร้านอาหารทะเล, ร้านหน้าเนื้อ ข้าวหน้าเท็มปุระ ข้าวหน้าหมู, ร้านอาหารทอด อย่างทงคัตสึ,ร้านอาหารกะทะร้อน พิซซ่าญี่ปุ่น ทาโกะยากิ, ร้านข้าวแกงกะหรี่ญี่ปุ่น, ร้านโซบะ อุด้ง.