นายกําพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าฝ่ายวิจัยด้านเศรษฐกิจ และตลาดการเงิน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (อีไอซี) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า มูลค่าการส่งออกเดือน ก.ค.63 ซึ่งหดตัวที่ -11.4% เมื่อเทียบกับเดือน ก.ค.62 และหดตัวน้อยลงจาก -23.2% ในเดือนก่อนหน้า สะท้อนถึงการผ่านจุดต่ำสุดของภาคการส่งออกไทยไปแล้ว และเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าเริ่มปรับดีขึ้นหลังผ่อนคลายมาตรการปิดเมือง
ทั้งนี้การส่งออกมีทิศทางฟื้นตัว แต่อีไอซียังคาดส่งออกปีนี้หดตัว -10.4% เมื่อเทียบกับปี 62 เนื่องจากยังมีหลายปัจจัยเสี่ยงกดดัน ได้แก่ 1.การกลับมาระบาดของโควิด-19 ในหลายประเทศที่เป็นตลาดส่งออกหลักของไทย 2.สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐฯ 3.ความเสี่ยงในการถูกกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีเป็นประเทศที่บิดเบือนค่าเงิน 4.กระแสการย้ายฐานการผลิตที่เร่งตัวขึ้นในหลายประเทศจากการระบาดโควิด-19
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ปรับประมาณการการส่งออกสินค้าไทยในปีนี้ มีแนวโน้มหดตัวที่ -12.0% เมื่อเทียบกับปี 62 จากคาดการณ์เดิมที่ -6.1% โดยสถานการณ์การแพร่ระบาดทั่วโลกยังไม่สามารถควบคุมได้ ขณะที่การพัฒนาวัคซีนแม้ว่าจะมีความคืบหน้าไปบ้าง แต่ก็ยังมีความไม่แน่นอนสูงและคาดว่าจะใช้ระยะเวลายาวนาน กว่าจะสามารถผลิตออกมาใช้อย่างกว้างขวาง ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกยังเผชิญความเสี่ยงอย่างมาก ขณะที่ความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะมีความรุนแรงมากขึ้น นอกจากนี้ ค่าเงินบาทยังมีทิศทางแข็งค่าตามแนวโน้มการอ่อนค่าลงของดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะกดดันภาคการส่งออกของไทยช่วงที่เหลือของปีนี้ นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เปิดเผยว่า กรมได้ปรับแผนงาน และกลยุทธ์ในการส่งเสริมผลักดันการค้าระหว่างประเทศ โดยมีเป้าหมายที่จะผลักดันให้ไทยเป็น 1 ใน 5 (Top 5) ของเอเชียในด้านการแข่งขันด้านการค้าระหว่างประเทศ ภายในปี 2570 ซึ่งการไปสู่เป้าหมายดังกล่าว จะต้องเพิ่มมูลค่าการส่งออกให้ได้อย่างน้อยปีละ 12,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือเพิ่มขึ้นเดือนละ 1,000 ล้านเหรียญฯ
ทั้งนี้ ในปี 62 ไทยมีมูลค่าส่งออกสูงเป็นอันดับ 8 ของเอเชีย และอันดับ 23 ของโลก ด้วยมูลค่า 245,344 ล้านเหรียญฯ ขณะที่อันดับ 1 คือ จีน มูลค่า 3 ล้านล้านเหรียญฯ, อันดับ 2 ญี่ปุ่น 705,564 ล้านเหรียญฯ, อันดับ 3 เกาหลีใต้ 542,233 ล้านเหรียญฯ, อันดับ 4 สิงคโปร์ 390,421 ล้านเหรียญฯ, อันดับ 5 อินเดีย 324,218 ล้านเหรียญฯ, อันดับ 6 ไต้หวัน 305,066 ล้านเหรียญฯ และอันดับ 7 เวียดนาม 264,267 ล้านเหรียญฯ.